รายงานข่าวจาก ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) แจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส.ได้มอบหมายให้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะเลขาธิการ ศรส. เป็นผู้จัดทำถ้อยแถลงต่อศาลแพ่ง ในคดีที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร.ต.อ.เฉลิม และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศรส. เป็น จำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิด จากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กทม.และปริมณฑล และออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมิชอบ และยังไม่มีเหตุจำเป็น ซึ่งได้สืบพยานบุคคลแล้วเสร็จ และศาลได้นัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 19 ก.พ. เวลา 15.00 น.
รายงานข่าวแจ้งว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวจะถูกนำส่งให้ศาลแพ่ง ภายในวันที่ 16 ก.พ. โดยรายละเอียดของถ้อยแถลง จะยึดรายละเอียดตามคำร้องของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งยื่นต่อศาลแพ่ง เพื่อฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเดือน เม.ย. 53 โดยครั้งนั้น ศาลแพ่งได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 1389/2553 ให้ยกฟ้องคำร้องของ นายพร้อมพงศ์ โดยระบุว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีเจตนารมณ์จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ตามความจำเป็น และในช่วงท้ายของคำสั่งศาล ระบุด้วยว่า “การใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของฝ่ายบริหาร ศาลมิอาจก้าวล่วงไปพิจารณาหรือทบทวนการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหารเช่นว่านั้นได้”
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. กล่าวว่า ที่ศาลแพ่ง จะพิจารณาคำร้องของ กปปส.ในวันที่ 19 ก.พ. ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น ตนฟัง กกปส.พูดแล้วตกใจ เพราะรู้ล่วงหน้าได้ว่าอย่างไรว่า รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยไม่ชอบเพราะเมื่อปี 53 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วมีบางฝ่ายในสังคมไปฟ้องศาลแพ่งแบบนี้ ศาลวินิจฉัยว่าไม่มีอำนาจสั่งรัฐบาลยกเลิกการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ศาลไม่ก้าวล่วง ตน ไม่เชื่อว่า กปปส. จะทายคำวินิจฉัยของศาลแม่น
ส่วนกรณีคนร้ายใช้ปืนเอ็ม 79 ยิงไปยังศาลอาญา และบ้านพัก นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานเครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ตำรวจกำลังสืบสวนสอบสวน แต่คาดว่าเป็นฝีมือของพวกมือที่สาม ที่ต้องการให้รัฐบาลโดนเพ่งเล็ง ยืนยันไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล ตนไม่มีนิสัยแบบนั้น ขณะที่เรื่องมือที่สาม ตนย้ำเสมอว่า จะมีการยิงกันอีก เพราะอาศัยจังหวะชุลมุน แต่รัฐบาลพยายามอย่างดีที่สุด ตนไม่ต้องการให้เกิดเหตุ และไม่ชอบความรุนแรง ต้องการความสงบเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า สัปดาห์นี้ ตั้งแต่วันพุธที่ 19 ก.พ. นายกฯ จะเข้าทำเนียบรัฐบาลได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ต้องเคลียร์พื้นที่โดยรอบ และตรวจสอบวัตถุระเบิดก่อน
**เร่งสอบกรณียิงถล่มบ้าน"ประมนต์"
จากกรณี เมื่อเวลา 03.30 น.(16 ก.พ.) ร.ต.ท.วีรชน แสนรัตน์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆได้รับแจ้งเหตุคนร้ายกราดยิง บ้านเลขที่ 12 ซอยเย็นอากาศ 2 ถนนเย็นอากาศ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา ซึ่งเป็นของ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด และกรรมการบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) จึงรายงานผู้บังคับบัญชา ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 พ.ต.อ.กิตติ พงษ์สุวรรณ ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ พ.ต.ท.ศยาม อินทร์สุวรรณโณ รอง ผกก.สส.สน.ทุ่งมหาเมฆ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
โดยบริเวณที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนสองชั้น มีรั้วรอบขอบชิดภายในบริเวณฝ้าเพดานหน้าบ้านมีร่องรอยกระสุน ปืนไม่ทราบชนิด 1 นัด นอกจากนี้ บริเวณชั้น 2 ของบ้าน ที่หน้าต่างภายในห้องทํางานพบรอยรูกระสุนจํานวน 4 นัด และกระจกหน้าต่างภายในห้องนอนรับรอง แตกเป็นขนาดใหญ่ และมีรูกระสุนปืนอีก 1 นัด ทั้งนี้ภายในห้องดังกล่าวมีรอยกระสุนถากจํานวน 2 นัด และพบหัวกระสุนปืนจํานวน 3 นัด ตกอยู่ภายในห้องดังกล่าวด้วย จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่ามีหัวกระสุน จํานวน 2 หัว ตกอยู่บริเวณลานหน้าบ้านเลขที่ 14 ซึ่งอยู่ถัดไปจากผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
นายประมนต์ กล่าวว่า ช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. ที่ผ่านมา ขณะตนกําลังนอนอยู่ภายในห้องนอน ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุดๆ ประมาณ 12 นัด จึงรีบออกมาดู แต่ไม่พบผู้ก่อเหตุจึงรีบโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ พบความเสียหายดังกล่าว ส่วนตัวแล้วตนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดมาก่อน ตนคาดว่าสาเหตุที่ถูกลอบยิงครั้งนี้มาจากเรื่องที่ตนเป็นประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย อาจทําให้ใครบางคนที่เสียผลประโยชน์ โกรธแค้นก็เป็นได้ แต่โชคดีที่ขณะก่อเหตุไม่มีใครอยู่ในห้องดังกล่าว
พล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายจะยิงมาจากนอกรั้วบ้านผู้เสียหาย แต่น่าจะหวังเพียงข่มขู่เท่านั้น ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายมีตําแหน่งเป็นประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย โดยหัวกระสุนที่ตรวจสอบพบ น่าจะเป็นขนาด 11 มม. หรือ .45
อย่างไรก็ตาม ต้องให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด เพื่อหาวิถีกระสุนเพื่อนํามายืนยันจุดก่อเหตุของคนร้าย
ต่อมา พล.ต.ต.สืบศักดิ์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีคนร้ายยิงถล่มบ้านนายประมนต์ ว่า ขณะนี้แนวทางการสืบสวนได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเร่งตรวจสอบภาพวงจรปิดบริเวณโดยรอบ รวมพยานในที่เกิดเหตุมาสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ได้ทำการสอบปากคำพยานไปแล้วประมาณ 4-5 ปาก โดยเป็นคนที่อยู่ภายในบ้าน และบุคคลที่พักอยู่บริเวณรอบบ้าน
ส่วนสาเหตุคาดว่า อาจจะมีคนไม่ชอบใจในการทำหน้าที่จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่จะเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยเฉพาะภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพคนร้ายได้ต่อไป
** ไม่พบภาพคนร้ายยิงถล่มศาล
ขณะที่ พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.พหลโยธิน เปิดเผยกรณีเหตุคนร้ายลอบยิงเครื่องยิงลูกระเบิดชนิด เอ็ม 79 จำนวน 1 ลูก เข้าที่หน้าต่างชั้น 7 อาคารศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้รับความเสียหาย เมื่อเวลา 19.40 น. ของคืนวันที่ 14 ก.พ. ที่ผานมาว่า ยังไม่พบพยานที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่กล้องวงจรปิดก็ตรวจสอบไม่พบเช่นกัน โดยเนื่องจากเป็นวันหยุดราชการในวันที่ 17 ก.พ.นี้ จะประสานทางกทม. เพื่อขอดูกล้องวงจรปิดอย่างละเอียดอีกครั้งว่าจะ เห็นที่มาหรือจุดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุหรือไม่ เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายต้องการยิงใส่ศาลเท่านั้นแต่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะยิงไปที่จุดใด ส่วนสาเหตุนั้น ผู้ใหญ่ของทางศาล ก็ไม่ระบุว่าสาเหตุมาจากเรื่องใด บอกว่าไม่มีความขัดแย้งกับใคร ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการสืบสวนหาคนร้ายต่อไป
**"ธาริต"หาช่องระงับบัญชี 58 แกนนำ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กล่าวถึง การประชุมกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว นายเสรี วงษ์มณฑา หนึ่งในแกนนำกลุ่ม กปปส. ที่ถูกดำเนินคดี โดยศาลให้ดีเอสไอ ระงับการสั่งธนาคารอายัดบัญชีรวม 7 บัญชีว่า ศรส.ได้รับรายงานว่า ดีเอสไอ จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันที ที่ได้รับแจ้ง ซึ่งนายเสรี และแกนนำกปปส. และคนอื่นรวม 58 คน อาจถูกอายัดบัญชี ระงับการทำธุรกรรมตามที่ ศรส.ได้แต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 5 หน่วยงาน คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสรรพากร ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาตรวจสอบ และเตรียมสั่งอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้อำนาจ
ทั้งนี้ ศรส.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 หน่วยงาน ให้ตรวจสอบ และพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้สนับสนุนการกระทำผิด หรือท่อน้ำเลี้ยง และศรส.ได้ตรวจสอบ และเตรียมเชิญผู้ต้องสงสัยที่เข้าข่ายให้การสนับสนุนผู้ชุมนุม มาชี้แจงก่อน หากชี้แจงไม่ได้จะประกาศรายชื่อระงับการทำธุรกรรมทางการเงินต่อไป
นายธาริต กล่าวต่อไปว่า ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีแกนนำ กปปส. และแนวร่วมที่ขัดขวางการเลือกตั้ง ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และล่วงละเมิดสิทธิประชาชน ขณะนี้มีจำนวนคดีทั่วประเทศ 159 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ ไม่จัดการเลือกตั้ง 168 คดี รวมทั้งสิ้น 327 คดี และศาลออก หมายจับแล้ว 67 คน
** ห่วงหลัง19 ก.พ.จะมีเหตุรุนแรง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และกลุ่มอื่นที่ยังถูกใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนือง และยังมีสถานการณ์ที่บ่งชี้ว่า จะก่อความรุนแรงให้กระทบต่อการชุมนุม การเคลื่อนไหวของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ คือ ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ศาลอาญา หลังจากที่ศาลอาญา มีภาระหน้าที่ในการตัดสินคดีความที่อาจเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ ประชาชนมากขึ้น ก่อให้เกิดความไม่พึงปรารถนาในบ้านเมือง และยังมีการกราดยิงใส่บ้าน นายประมล สุทธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เคลื่อนไหวแสดงจุดยืนต่อต้านการคอร์รัปชัน และพยายามหาทางออกการปฏิรูปประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าอาจจะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กลุ่ม กปปส.ด้วย ซึ่งตนเห็นว่าการดำเนินการเช่นนี้ น่าจะเกิดมาจากเหตุผลหลายประการ ซึ่งอาจเป็นลักษณะการยิงปืนนัดเดียวแต่ก่อให้เกิดผลกระทบกับนกสองตัวเลยหรือไม่
ทั้งนี้ยัง ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีการหวังผลสองประการ คือ 1 . ให้ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาว่าจะคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปหรือไม่ 2. เป็นการข่มขู่คุกคามบุคคลที่เห็นต่างจากรัฐบาล หรือองค์กรที่ดำเนินการใด ๆ ในสิ่งที่รัฐบาลไม่พึงปรารถนาหรือไม่ เป็นคำถามที่สังคมข้องใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะชัดเจนว่า การดำเนินการในลักษณะนี้สังคมมองเห็นว่าประโยชน์จะตกอยู่ที่ใครอย่างไร เนื่องจากประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับผู้ชุมนุมหรือคนเห็นต่างจากรัฐบาลอย่างแน่นอน จึงน่าจะเป็นความพยายามของผู้มีอำนาจรัฐในบ้านเมือง และเชื่อว่าตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19 ก.พ. 57 ที่จะมีการพิจารณาว่าจะคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปได้หรือไม่นั้น จะเป็นช่วงเวลาที่มีการปฏิบัติการก่อความรุนแรง ทั้งบริเวณจุดชุมุนุมรวมทั้งบุคคลสำคัญหรือองค์กรสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม การปฏิบัติการของรัฐบาล ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้แสดงบทบาทหาทางระงับยับยั้งไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นกับองค์กรที่ทำภาระหน้าที่ เพื่อประโยชน์ต่อบ้าน เมือง เช่น กรณีของนายประมล
**จวก"ปึ้ง"ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า รัฐบาลตั้งตัวเป็นศัตรูกับทุกฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐบาล ใช้อำนาจโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ในการคงอำนาจของรัฐบาล โดยดูได้จากการที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ วิจารณ์ กกต. ที่ได้เชิญทูตานุทูตไปชี้แจงสถานการณ์บ้านเมืองว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทั้งที่เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกระบวนการทางการทูต เนื่องจากทูตประเทศต่างๆ มีการรับฟังความเห็นหลากหลาย ประมวลจัดลำดับความสัมพันธ์กับประเทศไทย ไม่ใช่ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพียงอย่างเดียว คำพูดของนายสุรพงษ์จึงแสดงถึงความไร้เดียงสาทางการทูต และใช้อำนาจรมว.ต่างประเทศ ใส่ร้ายฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐบาล สะท้อนทัศนคติไม่มีจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตย เช่นเดียวกับนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ปฏิเสธจะให้ความร่วมมือกับ กกต.ในการหาทางออกให้ประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำทางจิตวิญญาณ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของคนเหล่านี้ จนทำให้ประชาชนออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
นายชวนนท์ กล่าวว่า นอกจากนักการเมืองแล้วข้าราชการที่รับใช้นักการเมืองอย่างออกนอกหน้า เช่น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ ทำให้สังคมเห็นชัดเจนถึงการใช้อำนาจรัฐไม่เป็นธรรม ดังที่มีความพยายามจะขยายเวลาควบคุมตัว นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้นายธาริต ระบุว่า จะใช้การควบคุมตัวตามหมายจับกบฏ แต่ศาลก็ไม่อนุมัติ เพราะยังอยู่ในขั้นหมายเรียก ไม่ถึงขั้นหมายจับ เป็นความพยายามใช้อำนาจจัดการประชาชน ขัด
พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาตรา 17 เพราะไม่ได้ปฏิบัติโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากยังมีความพยายามที่จะกลั่นแกล้งฝ่ายเห็นต่าง เช่น กรณีที่ศาลให้ยกเลิกการอายัดบัญชี ดร. เสรี วงษ์มณฑา แต่นายธาริตกลับยืนยันจะอายัดบัญชีต่อ โดยใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด สะท้อนถึงความเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ใช้วันหยุดเต็มอัตราในขณะที่พี่น้องชาวนากำลังผูกคอตาย และตำรวจเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน ส่วนตัวเองไปทำบุญ หากทำได้แค่นี้ต้องพ้นจากตำแหน่งไป เพราะไม่มีความรับผิดชอบ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความตั้งใจที่จะทำหน้าที่ผู้นำประเทศ สะท้อนจากความพยายามแก้กรรม ทั้งที่กำลังก่อกรรมกับประชาชนและชาวนา น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือคู่ขัดแย้งของประเทศขอให้ทำบุญครั้งใหญ่ให้กับประเทศ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรักษาการโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องเลือกระหว่างการรักษาตำแหน่งนายกรักษาการกับการรักษาชีวิตชาวนา
**"ยิ่งลักษณ์"เก็บตัวเงียบที่บ้านพัก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากหน้าบ้านพักย่านซอย โยธินพัฒนา 3 ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า เมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงเก็บตัวเงียบและพักผ่อนเป็นการส่วนตัวในบ้านัก โดยไม่มีการแจ้งภารกิจใดๆ แต่อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวระบุว่า นายกฯ ได้ติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยหน่วยงานความมั่นคง รายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง สำหรับการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบบ้านพักของนายกฯ นั้น เป็น ไปด้วยความเข้มงวด มีการสับเปลี่ยนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ รักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ เช่นเดิม
ในขณะที่บรรยากาศที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นที่ทำงานชั่วคราวของรัฐบาลนั้น ในช่วงเช้ามีเพียงเจ้าหน้าที่และข้าราชการบางส่วนเท่านั้นที่มาทำงานรักษาการตามปกติ แต่ไม่มีบุคคลในรัฐบาลระดับรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือฝ่ายความมั่นคงเดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจแต่อย่างใด
ด้านการรักษาความปลอดภัย ยังดำเนินการอย่างเข้มงวด มีการปิดล้อมลวดหนามโดยรอบอาคารฯ ตามปกติ ทั้งนี้มีข่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 17 ก.พ. จะมีมวลชน 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม กปปส. ที่ได้จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เดินทางมาที่ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อมากดดันการทำงานของรัฐบาล และไม่ต้องการให้รัฐบาลใช้พื้นที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นที่ทำงานสำรองอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวนา ที่นำโดยนายระวี รุ่งเรือง ประธานศูนย์ข้าวชุมชนภาคตะวันตก ที่จะมาขอเข้าพบนายกฯ เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการจ่ายเงินจำนำข้าว
** "เทือก"ต้องเจรจากับปชช.ไม่ใช่"แม้ว"
นายนพดล ปัทมะ กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศว่า จะไม่เจรจากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่จะขอเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นว่า ตนเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับ นายสุเทพ แต่ นายสุเทพ เป็นคู่ขัดแย้งกับคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะคนไทยที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 20 ล้านคน เพราะกปปส. ขัดขวางการเลือกตั้งทุกรูปแบบ ข้อเรียกร้องของกปปส. ที่ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญ และ จัดตั้งสภาประชาชน และมีนายกฯ คนกลาง ก็ต้องไปถามเจ้าของอำนาจอธิปไตย 65 ล้านคนทั่วประเทศ ว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวอะไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 50 เมื่อประชาชนส่วนน้อยเรียกร้องให้ยุบสภา ก็ได้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกติกา ดังนั้น ฝ่ายพท.จึงเป็นคนเล่นตามกติกาที่ฝ่ายตนเองไม่ได้เป็นผู้ร่าง ในขณะที่บางฝ่ายหนึ่งยึด อำนาจร่างกติกา และแต่งตั้งบุคคลฝ่ายของตนในองค์กรต่างๆ เต็มไปหมด แต่วันนี้มาเรียกร้องตั้งสภาประชาชน และฉีกกติกาที่พวกตนร่างขึ้น จึงต้องกลับไปถามประชาชนทั้งประเทศว่า เห็นด้วยกับนายสุเทพ หรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวจะถูกนำส่งให้ศาลแพ่ง ภายในวันที่ 16 ก.พ. โดยรายละเอียดของถ้อยแถลง จะยึดรายละเอียดตามคำร้องของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งยื่นต่อศาลแพ่ง เพื่อฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเดือน เม.ย. 53 โดยครั้งนั้น ศาลแพ่งได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 1389/2553 ให้ยกฟ้องคำร้องของ นายพร้อมพงศ์ โดยระบุว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีเจตนารมณ์จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ตามความจำเป็น และในช่วงท้ายของคำสั่งศาล ระบุด้วยว่า “การใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของฝ่ายบริหาร ศาลมิอาจก้าวล่วงไปพิจารณาหรือทบทวนการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหารเช่นว่านั้นได้”
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. กล่าวว่า ที่ศาลแพ่ง จะพิจารณาคำร้องของ กปปส.ในวันที่ 19 ก.พ. ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น ตนฟัง กกปส.พูดแล้วตกใจ เพราะรู้ล่วงหน้าได้ว่าอย่างไรว่า รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยไม่ชอบเพราะเมื่อปี 53 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วมีบางฝ่ายในสังคมไปฟ้องศาลแพ่งแบบนี้ ศาลวินิจฉัยว่าไม่มีอำนาจสั่งรัฐบาลยกเลิกการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ศาลไม่ก้าวล่วง ตน ไม่เชื่อว่า กปปส. จะทายคำวินิจฉัยของศาลแม่น
ส่วนกรณีคนร้ายใช้ปืนเอ็ม 79 ยิงไปยังศาลอาญา และบ้านพัก นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานเครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ตำรวจกำลังสืบสวนสอบสวน แต่คาดว่าเป็นฝีมือของพวกมือที่สาม ที่ต้องการให้รัฐบาลโดนเพ่งเล็ง ยืนยันไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล ตนไม่มีนิสัยแบบนั้น ขณะที่เรื่องมือที่สาม ตนย้ำเสมอว่า จะมีการยิงกันอีก เพราะอาศัยจังหวะชุลมุน แต่รัฐบาลพยายามอย่างดีที่สุด ตนไม่ต้องการให้เกิดเหตุ และไม่ชอบความรุนแรง ต้องการความสงบเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า สัปดาห์นี้ ตั้งแต่วันพุธที่ 19 ก.พ. นายกฯ จะเข้าทำเนียบรัฐบาลได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ต้องเคลียร์พื้นที่โดยรอบ และตรวจสอบวัตถุระเบิดก่อน
**เร่งสอบกรณียิงถล่มบ้าน"ประมนต์"
จากกรณี เมื่อเวลา 03.30 น.(16 ก.พ.) ร.ต.ท.วีรชน แสนรัตน์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆได้รับแจ้งเหตุคนร้ายกราดยิง บ้านเลขที่ 12 ซอยเย็นอากาศ 2 ถนนเย็นอากาศ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา ซึ่งเป็นของ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด และกรรมการบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) จึงรายงานผู้บังคับบัญชา ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 พ.ต.อ.กิตติ พงษ์สุวรรณ ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ พ.ต.ท.ศยาม อินทร์สุวรรณโณ รอง ผกก.สส.สน.ทุ่งมหาเมฆ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
โดยบริเวณที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนสองชั้น มีรั้วรอบขอบชิดภายในบริเวณฝ้าเพดานหน้าบ้านมีร่องรอยกระสุน ปืนไม่ทราบชนิด 1 นัด นอกจากนี้ บริเวณชั้น 2 ของบ้าน ที่หน้าต่างภายในห้องทํางานพบรอยรูกระสุนจํานวน 4 นัด และกระจกหน้าต่างภายในห้องนอนรับรอง แตกเป็นขนาดใหญ่ และมีรูกระสุนปืนอีก 1 นัด ทั้งนี้ภายในห้องดังกล่าวมีรอยกระสุนถากจํานวน 2 นัด และพบหัวกระสุนปืนจํานวน 3 นัด ตกอยู่ภายในห้องดังกล่าวด้วย จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่ามีหัวกระสุน จํานวน 2 หัว ตกอยู่บริเวณลานหน้าบ้านเลขที่ 14 ซึ่งอยู่ถัดไปจากผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
นายประมนต์ กล่าวว่า ช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. ที่ผ่านมา ขณะตนกําลังนอนอยู่ภายในห้องนอน ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุดๆ ประมาณ 12 นัด จึงรีบออกมาดู แต่ไม่พบผู้ก่อเหตุจึงรีบโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ พบความเสียหายดังกล่าว ส่วนตัวแล้วตนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดมาก่อน ตนคาดว่าสาเหตุที่ถูกลอบยิงครั้งนี้มาจากเรื่องที่ตนเป็นประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย อาจทําให้ใครบางคนที่เสียผลประโยชน์ โกรธแค้นก็เป็นได้ แต่โชคดีที่ขณะก่อเหตุไม่มีใครอยู่ในห้องดังกล่าว
พล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายจะยิงมาจากนอกรั้วบ้านผู้เสียหาย แต่น่าจะหวังเพียงข่มขู่เท่านั้น ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายมีตําแหน่งเป็นประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย โดยหัวกระสุนที่ตรวจสอบพบ น่าจะเป็นขนาด 11 มม. หรือ .45
อย่างไรก็ตาม ต้องให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด เพื่อหาวิถีกระสุนเพื่อนํามายืนยันจุดก่อเหตุของคนร้าย
ต่อมา พล.ต.ต.สืบศักดิ์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีคนร้ายยิงถล่มบ้านนายประมนต์ ว่า ขณะนี้แนวทางการสืบสวนได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเร่งตรวจสอบภาพวงจรปิดบริเวณโดยรอบ รวมพยานในที่เกิดเหตุมาสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ได้ทำการสอบปากคำพยานไปแล้วประมาณ 4-5 ปาก โดยเป็นคนที่อยู่ภายในบ้าน และบุคคลที่พักอยู่บริเวณรอบบ้าน
ส่วนสาเหตุคาดว่า อาจจะมีคนไม่ชอบใจในการทำหน้าที่จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่จะเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยเฉพาะภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพคนร้ายได้ต่อไป
** ไม่พบภาพคนร้ายยิงถล่มศาล
ขณะที่ พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.พหลโยธิน เปิดเผยกรณีเหตุคนร้ายลอบยิงเครื่องยิงลูกระเบิดชนิด เอ็ม 79 จำนวน 1 ลูก เข้าที่หน้าต่างชั้น 7 อาคารศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้รับความเสียหาย เมื่อเวลา 19.40 น. ของคืนวันที่ 14 ก.พ. ที่ผานมาว่า ยังไม่พบพยานที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่กล้องวงจรปิดก็ตรวจสอบไม่พบเช่นกัน โดยเนื่องจากเป็นวันหยุดราชการในวันที่ 17 ก.พ.นี้ จะประสานทางกทม. เพื่อขอดูกล้องวงจรปิดอย่างละเอียดอีกครั้งว่าจะ เห็นที่มาหรือจุดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุหรือไม่ เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายต้องการยิงใส่ศาลเท่านั้นแต่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะยิงไปที่จุดใด ส่วนสาเหตุนั้น ผู้ใหญ่ของทางศาล ก็ไม่ระบุว่าสาเหตุมาจากเรื่องใด บอกว่าไม่มีความขัดแย้งกับใคร ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการสืบสวนหาคนร้ายต่อไป
**"ธาริต"หาช่องระงับบัญชี 58 แกนนำ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กล่าวถึง การประชุมกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว นายเสรี วงษ์มณฑา หนึ่งในแกนนำกลุ่ม กปปส. ที่ถูกดำเนินคดี โดยศาลให้ดีเอสไอ ระงับการสั่งธนาคารอายัดบัญชีรวม 7 บัญชีว่า ศรส.ได้รับรายงานว่า ดีเอสไอ จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันที ที่ได้รับแจ้ง ซึ่งนายเสรี และแกนนำกปปส. และคนอื่นรวม 58 คน อาจถูกอายัดบัญชี ระงับการทำธุรกรรมตามที่ ศรส.ได้แต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 5 หน่วยงาน คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสรรพากร ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาตรวจสอบ และเตรียมสั่งอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้อำนาจ
ทั้งนี้ ศรส.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 หน่วยงาน ให้ตรวจสอบ และพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้สนับสนุนการกระทำผิด หรือท่อน้ำเลี้ยง และศรส.ได้ตรวจสอบ และเตรียมเชิญผู้ต้องสงสัยที่เข้าข่ายให้การสนับสนุนผู้ชุมนุม มาชี้แจงก่อน หากชี้แจงไม่ได้จะประกาศรายชื่อระงับการทำธุรกรรมทางการเงินต่อไป
นายธาริต กล่าวต่อไปว่า ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีแกนนำ กปปส. และแนวร่วมที่ขัดขวางการเลือกตั้ง ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และล่วงละเมิดสิทธิประชาชน ขณะนี้มีจำนวนคดีทั่วประเทศ 159 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ ไม่จัดการเลือกตั้ง 168 คดี รวมทั้งสิ้น 327 คดี และศาลออก หมายจับแล้ว 67 คน
** ห่วงหลัง19 ก.พ.จะมีเหตุรุนแรง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และกลุ่มอื่นที่ยังถูกใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนือง และยังมีสถานการณ์ที่บ่งชี้ว่า จะก่อความรุนแรงให้กระทบต่อการชุมนุม การเคลื่อนไหวของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ คือ ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ศาลอาญา หลังจากที่ศาลอาญา มีภาระหน้าที่ในการตัดสินคดีความที่อาจเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ ประชาชนมากขึ้น ก่อให้เกิดความไม่พึงปรารถนาในบ้านเมือง และยังมีการกราดยิงใส่บ้าน นายประมล สุทธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เคลื่อนไหวแสดงจุดยืนต่อต้านการคอร์รัปชัน และพยายามหาทางออกการปฏิรูปประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าอาจจะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กลุ่ม กปปส.ด้วย ซึ่งตนเห็นว่าการดำเนินการเช่นนี้ น่าจะเกิดมาจากเหตุผลหลายประการ ซึ่งอาจเป็นลักษณะการยิงปืนนัดเดียวแต่ก่อให้เกิดผลกระทบกับนกสองตัวเลยหรือไม่
ทั้งนี้ยัง ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีการหวังผลสองประการ คือ 1 . ให้ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาว่าจะคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปหรือไม่ 2. เป็นการข่มขู่คุกคามบุคคลที่เห็นต่างจากรัฐบาล หรือองค์กรที่ดำเนินการใด ๆ ในสิ่งที่รัฐบาลไม่พึงปรารถนาหรือไม่ เป็นคำถามที่สังคมข้องใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะชัดเจนว่า การดำเนินการในลักษณะนี้สังคมมองเห็นว่าประโยชน์จะตกอยู่ที่ใครอย่างไร เนื่องจากประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับผู้ชุมนุมหรือคนเห็นต่างจากรัฐบาลอย่างแน่นอน จึงน่าจะเป็นความพยายามของผู้มีอำนาจรัฐในบ้านเมือง และเชื่อว่าตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19 ก.พ. 57 ที่จะมีการพิจารณาว่าจะคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปได้หรือไม่นั้น จะเป็นช่วงเวลาที่มีการปฏิบัติการก่อความรุนแรง ทั้งบริเวณจุดชุมุนุมรวมทั้งบุคคลสำคัญหรือองค์กรสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม การปฏิบัติการของรัฐบาล ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้แสดงบทบาทหาทางระงับยับยั้งไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นกับองค์กรที่ทำภาระหน้าที่ เพื่อประโยชน์ต่อบ้าน เมือง เช่น กรณีของนายประมล
**จวก"ปึ้ง"ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า รัฐบาลตั้งตัวเป็นศัตรูกับทุกฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐบาล ใช้อำนาจโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ในการคงอำนาจของรัฐบาล โดยดูได้จากการที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ วิจารณ์ กกต. ที่ได้เชิญทูตานุทูตไปชี้แจงสถานการณ์บ้านเมืองว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทั้งที่เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกระบวนการทางการทูต เนื่องจากทูตประเทศต่างๆ มีการรับฟังความเห็นหลากหลาย ประมวลจัดลำดับความสัมพันธ์กับประเทศไทย ไม่ใช่ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพียงอย่างเดียว คำพูดของนายสุรพงษ์จึงแสดงถึงความไร้เดียงสาทางการทูต และใช้อำนาจรมว.ต่างประเทศ ใส่ร้ายฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐบาล สะท้อนทัศนคติไม่มีจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตย เช่นเดียวกับนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ปฏิเสธจะให้ความร่วมมือกับ กกต.ในการหาทางออกให้ประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำทางจิตวิญญาณ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของคนเหล่านี้ จนทำให้ประชาชนออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
นายชวนนท์ กล่าวว่า นอกจากนักการเมืองแล้วข้าราชการที่รับใช้นักการเมืองอย่างออกนอกหน้า เช่น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ ทำให้สังคมเห็นชัดเจนถึงการใช้อำนาจรัฐไม่เป็นธรรม ดังที่มีความพยายามจะขยายเวลาควบคุมตัว นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้นายธาริต ระบุว่า จะใช้การควบคุมตัวตามหมายจับกบฏ แต่ศาลก็ไม่อนุมัติ เพราะยังอยู่ในขั้นหมายเรียก ไม่ถึงขั้นหมายจับ เป็นความพยายามใช้อำนาจจัดการประชาชน ขัด
พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาตรา 17 เพราะไม่ได้ปฏิบัติโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากยังมีความพยายามที่จะกลั่นแกล้งฝ่ายเห็นต่าง เช่น กรณีที่ศาลให้ยกเลิกการอายัดบัญชี ดร. เสรี วงษ์มณฑา แต่นายธาริตกลับยืนยันจะอายัดบัญชีต่อ โดยใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด สะท้อนถึงความเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ใช้วันหยุดเต็มอัตราในขณะที่พี่น้องชาวนากำลังผูกคอตาย และตำรวจเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน ส่วนตัวเองไปทำบุญ หากทำได้แค่นี้ต้องพ้นจากตำแหน่งไป เพราะไม่มีความรับผิดชอบ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความตั้งใจที่จะทำหน้าที่ผู้นำประเทศ สะท้อนจากความพยายามแก้กรรม ทั้งที่กำลังก่อกรรมกับประชาชนและชาวนา น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือคู่ขัดแย้งของประเทศขอให้ทำบุญครั้งใหญ่ให้กับประเทศ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรักษาการโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องเลือกระหว่างการรักษาตำแหน่งนายกรักษาการกับการรักษาชีวิตชาวนา
**"ยิ่งลักษณ์"เก็บตัวเงียบที่บ้านพัก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากหน้าบ้านพักย่านซอย โยธินพัฒนา 3 ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า เมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงเก็บตัวเงียบและพักผ่อนเป็นการส่วนตัวในบ้านัก โดยไม่มีการแจ้งภารกิจใดๆ แต่อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวระบุว่า นายกฯ ได้ติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยหน่วยงานความมั่นคง รายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง สำหรับการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบบ้านพักของนายกฯ นั้น เป็น ไปด้วยความเข้มงวด มีการสับเปลี่ยนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ รักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ เช่นเดิม
ในขณะที่บรรยากาศที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นที่ทำงานชั่วคราวของรัฐบาลนั้น ในช่วงเช้ามีเพียงเจ้าหน้าที่และข้าราชการบางส่วนเท่านั้นที่มาทำงานรักษาการตามปกติ แต่ไม่มีบุคคลในรัฐบาลระดับรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือฝ่ายความมั่นคงเดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจแต่อย่างใด
ด้านการรักษาความปลอดภัย ยังดำเนินการอย่างเข้มงวด มีการปิดล้อมลวดหนามโดยรอบอาคารฯ ตามปกติ ทั้งนี้มีข่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 17 ก.พ. จะมีมวลชน 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม กปปส. ที่ได้จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เดินทางมาที่ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อมากดดันการทำงานของรัฐบาล และไม่ต้องการให้รัฐบาลใช้พื้นที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นที่ทำงานสำรองอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวนา ที่นำโดยนายระวี รุ่งเรือง ประธานศูนย์ข้าวชุมชนภาคตะวันตก ที่จะมาขอเข้าพบนายกฯ เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการจ่ายเงินจำนำข้าว
** "เทือก"ต้องเจรจากับปชช.ไม่ใช่"แม้ว"
นายนพดล ปัทมะ กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศว่า จะไม่เจรจากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่จะขอเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นว่า ตนเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับ นายสุเทพ แต่ นายสุเทพ เป็นคู่ขัดแย้งกับคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะคนไทยที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 20 ล้านคน เพราะกปปส. ขัดขวางการเลือกตั้งทุกรูปแบบ ข้อเรียกร้องของกปปส. ที่ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญ และ จัดตั้งสภาประชาชน และมีนายกฯ คนกลาง ก็ต้องไปถามเจ้าของอำนาจอธิปไตย 65 ล้านคนทั่วประเทศ ว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวอะไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 50 เมื่อประชาชนส่วนน้อยเรียกร้องให้ยุบสภา ก็ได้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกติกา ดังนั้น ฝ่ายพท.จึงเป็นคนเล่นตามกติกาที่ฝ่ายตนเองไม่ได้เป็นผู้ร่าง ในขณะที่บางฝ่ายหนึ่งยึด อำนาจร่างกติกา และแต่งตั้งบุคคลฝ่ายของตนในองค์กรต่างๆ เต็มไปหมด แต่วันนี้มาเรียกร้องตั้งสภาประชาชน และฉีกกติกาที่พวกตนร่างขึ้น จึงต้องกลับไปถามประชาชนทั้งประเทศว่า เห็นด้วยกับนายสุเทพ หรือไม่