ศาลแพ่งมีคำสั่งรับฟ้อง"ยิ่งลักษณ์-ครม."ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มิชอบพร้อมไต่สวนฉุกเฉิน นัดคำสั่งคุ้มครองชั่วคราววันนี้ ขณะที่แกนนำกปปส. ส่งทนายยื่นฟ้อง"ธาริต" อายัดบัญชีมิชอบ "กอ.รมน." ยันไม่พบกองกำลังติดอาวุธเข้าไทย เผย"ประยุทธ์" สั่งตรวจสอบเข้มชายแดนเขมร แจงผบ.ทบ.หวั่นจลาจล แค่ประเมินภัยขั้นสูงสุด ชี้มีกม.ให้ทหารออกควบคุมสถานการณ์ "สุเทพ" เมินเจรจาศรส. นำมวลชนเดินย่านสุขุมวิท เรียกร้องทหาร ถ้าไม่ออกมาคุ้มครองประชาชน ก็อย่าออกมาขัดขวางการคัดค้านเลือกตั้งของมวลชน
วานนี้ (30 ม.ค.) ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.00 น. ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส.และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในฐานะรอง ผอ.ศรส.เรื่องละเมิด ขอให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุม และขอให้ศาลเปิดไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์แล้ว เห็นว่า การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ให้อำนาจฝ่ายบริหาร ในการออกประกาศ เมื่อเห็นว่า สถานการณ์ บ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขัน เพื่อให้แก้ไขสถานการณ์ร้ายแรง และสามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ลุล่วงไปโดยเร็ว แต่การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กล่าว ไม่ได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะมิได้รับความคุ้มครองจากอำนาจศาลยุติธรรม ผู้เสียหาย สามารถยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมได้ ซึ่งโจทก์ อ้างว่าการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของจำเลย ทั้ง 3 นั้น เป็นการจงใจใช้อำนาจโดยมิชอบ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ชุมนุม อันเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ คดีนี้ ศาลแพ่ มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา เป็นการเร่งด่วน ให้ออกหมายเรียกจำเลย ทั้ง 3 คน มาทำคำชี้แจง ภายใน 3 วัน และนัดตรวจหลักพยานหลักฐานและพิจารณา ในวันที่ 6 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.
นายถาวรเปิดเผยภายหลังว่า คดีนี้ศาลรับคดีไว้พิจารณา เป็นการเร่งด่วน และให้ออกหมายเรียกจำเลย ทั้ง 3 ทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ยื่นต่อศาลภายใน 3 วัน และนัดพิจารณาในวันที่ 6 ก.พ.นี้ แต่จำเลยจะเดินทางมาศาลด้วยตนเองหรือไม่ ก็เป็นสิทธิ เพราะคดีนี้ถือเป็นคดีแพ่ง จำเลยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาศาลด้วยตนเอง
ส่วนกรณีที่ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวไว้นั้น ศาลเห็นว่า เป็นเรื่องเร่งด่วน จึงนัดไต่สวนพยานในวันนี้ (30ม.ค.) เวลา 13.30 น. ซึ่งตนจะขึ้นเบิกความ พร้อมกับ นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขา สมช.เป็นพยานเพียง 2 ปาก ส่วนศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ต่อมาเวลา 13.30 น. ทนายโจทก์ได้นำนายถาวร ขึ้นเบิกความว่า นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อปกป้องตนเอง ซึ่งเป็นการกระทบสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ และการใช้ชีวิตประจำวันถูกจำกัด ทั้งการห้ามเข้าสถานที่ราชการ การห้ามสัญจรบนถนน 20 สาย ห้ามมีการชุมนุมเกินกว่า 5 คนขึ้นไป และที่สำคัญมีการยื่นขอออกหมายจับแกนนำ กปปส.ถึง 3 ครั้ง โดยหลังจากมีการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็เกิดความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเพิกเฉย ไม่ดำเนินการจับกุม นอกจากนี้จำเลยยังได้วางแผนสลายการชุมนุมโดยอยู่ในขั้นตอนเตรียมการ มีการเจรจาขอคืนพื้นที่ทั้งที่ และนำกองร้อยปราบจลาจลกว่า 16,000 นาย เตรียมการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงนี้เป็นการให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จำเลยที่ 2 เอง ดังนั้นหากปล่อยให้มีการสลายการชุมนุมจะทำให้เกิดความเสียหายและทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบาดเจ็บล้มตายได้
ภายหลังเบิกความเสร็จ ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินฯในวันที่ 31 ม.ค. (วันนี้) เวลา 15.00 น.
ขอหมายจับ“สุเทพ”ซ้ำนัดไต่สวนวันนี้
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 15.00 น.วานนี้ (30 ม.ค.) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ พร้อมคณะพนักงานสอบสวนได้เดินทางมายื่นคำร้อง เพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส. จำนวน 16 ราย และเพิ่มเติมอีก 3 ราย ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 3.นายชุมพล จุลใส 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5.นายอิสสระ สมชัย 6.นายวิทยา แก้วภราดัย 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 11.นายนิติธร ล้ำเหลือ 12.นายอุทัย ยอดมณี 13.เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ 14.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 15.นายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี หรือ นายอมร อมรรัตนานนท์ 16.นายกิตติชัย ใสสะอาด 17.นายสำราญ รอดเพชร 18.นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และ 19.นายพานสุวรรณ ณ แก้ว ฐานกระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา11(1) และมาตรา 12
ทั้งนี้ ศาลรับคำร้องและเอกสารไว้พิจารณา และนัดไต่สวนหมายจับในวันที่ 31 ม.ค. นี้ เวลา 09.00 น. ห้องพิจารณาคดี 803 ขณะทนายความ กปปส.ได้เดินทางมายื่นคำร้องคัดค้านหมายจับเช่นกัน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ กล่าวว่า ในวันนี้ (31ม.ค.) ทางศรส. ได้จัดคณะเจรจา เข้าเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อไม่ให้ขัดขวางการเลือกตั้ง เวลา 14.00 น.ที่เวทีปทุมวัน
ฟ้อง"ธาริต"อายัดบัญชีแกนนำกปปส.
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจาก นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ที่ปรึกษากลุ่ม กปปส. และนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา เดินทางมายื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ เป็นจำเลยในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 157
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่าง วันที่ 17 ธ.ค. 56 - 9 ม.ค. 57 พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 6/2556 และมีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ รวมทั้งรมว.ยุติธรรม ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุม กคพ.มีมติให้ กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำ กปปส.ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดอาญา สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ กทม. และบางจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 56 เป็นต้นมา เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรค 1 (2) แห่งพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
ต่อมาในวันที่ 18 ธ.ค. 56 นายธาริต จำเลยได้แถลงหลังการประชุมพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ว่าที่ประชุมได้มีมติดำเนินการดังนี้ 1. ออกหมายเรียกแกนนำ กกปส.จำนวน 17 คนให้มารับทราบข้อกล่าวหา 2. ออกคำสั่งให้อายัดบัญชี ของแกนนำกปปส.จำนวน 18 คน ตามมาตรา 24 แห่งพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และออกคำสั่งแจ้งไปยังธนาคารพาณิชย์ของไทยและต่างประเทศ รวม 28 แห่ง อาทิ ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น ให้อายัดบัญชีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำดังกล่าว โดยส่งหนังสือแจ้งคำสั่งไปยังธนาคารทุกแห่ง เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 56
ต่อมาจำเลยเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาการดำเนินคดีแล้วมีมติให้ดำเนินการคดีเพิ่มเติมต่อแกนนำอีก 20-30 คน โดยเฉพาะแกนนำที่อภิปรายในลักษณะผิดกฎหมาย หรือนำมวลชนไปบุกยึดสถานที่ราชการ
นอกจากนี้ จำเลยได้เคยแถลงว่าที่ประชุมมีมติให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติมแล้วแจ้งให้ธนาคารตรวจสอบและอายัดบัญชีเพิ่มเติม เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายเสรี วงษ์มณฑา พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นต้น นอกจากนี้ จำเลยยังแถลงว่า ได้ดำเนินการออกหมายเรียกผู้ต้องหาอีก 37 คน เพื่อรับทราบข้อหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดระหว่างวันที่ 26-27 ธ.ค. 56 ถึง 2 และ 3 ม.ค. 57 แล้วจำเลยได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาอีกด้วย
จากนั้นวันที่ 24 ธ.ค. 56 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศของดีเอสไอ เรื่องมติคณะกรรมการคดีพิเศษ ให้กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ชุมนุมทางการเมืองใน กทม.และต่างจังหวัด ตั้งแต่ 3 ส.ค. 56 เป็นต้นมา รวมถึงบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วม เป็นคดีพิเศษ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมายต่อไป ศาลได้ตรวจคำฟ้องและรับไว้เป็นคดีดำที่ อ.214/2557 พร้อมนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 21 เม.ย.นี้
นายสุวัตรเปิดเผยว่า ได้ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากได้ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ และทำการอายัดบัญชีธนาคารของแกนนำ กปปส.จำนวนหลายคน ซึ่งถือว่าขั้นตอนการดำเนินการไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงมายื่นฟ้องไว้ก่อน ส่วนกรรมการคดีพิเศษคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมประชุมจะทยอยมายื่นฟ้องต่อไป
ผบ.ทบ.สั่งเช็กกองกำลังต่างชาติเข้าไทย
วานนี้ พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวถึงกรณีที่รายงานข่าวระบุว่า มีกองกำลังติดอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอาศัยบริเวณตลาดไท หนอกจอก และมีนบุรี ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ตรวจสอบไปยังกองกำลังบูรพา และกองกำลังสุรนารี ให้ตรวจสอบบริเวณชายแดน โดยเฉพาะด้านตะวันออก ย้อนหลัง 3 เดือนจนถึงปัจจุบัน ว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีกองกำลังต่างชาติติดอาวุธ เข้ามาหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 กองกำลังชี้แจงว่า ยังไม่ปรากฏการเข้ามาในลักษณะกองกำลังติดอาวุธ แต่อาจจะมีทยอยลักลอบเข้ามาตามแนวชายแดนได้
ส่วนพื้นที่บริเวณตลาดไท หนอกจอก และมีนบุรีนั้น ทาง กอ.รมน.ได้ตรวจสอบ และทราบว่า เป็นที่อยู่อาศัยของแรงงานต่างด้าวที่มาใช้แรงงานในประเทศไทย ซึ่งคล้ายกับ จ.สมุทรสาคร ที่มีแรงงานชาวพม่าเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นชุมชน
เมื่อถามถึงกรณีที่ ผบ.ทบ.ระบุว่า หากมีการจลาจล หรือกองกำลังต่างชาติเข้ามาก่อความไม่สงบ ทหารจะออกมาควบคุมสถานการณ์ พ.อ.บรรพต กล่าวว่า เป็นการวิเคราะห์ตามหลักการของงานความมั่นคง ที่ต้องตั้งสมมุติฐานและประเมินเป็นภัยคุกคามสูงสุดเพื่อพิจารณาและเตรียมแผนการรับมือ
“ปัจจุบันรัฐบาลมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งทางทหารสามารถออกมาปฏิบัติงานได้ แต่หากเกิดจลาจลจนควบคุมไม่ได้ เราก็มีกฎหมายอยู่แล้วและมีหลายฉบับที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป ตั้งแต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนถึงการประกาศกฎอัยการศึก แต่ต้องมีการประเมินตามสถานการณ์ว่า จะพัฒนาไปทิศทางใด ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.นี้ จะแตกต่างจากวันเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เพราะหน่วยเลือกตั้งมีมากกว่า อาจทำให้การกระจายของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งไม่ทั่วถึง โดยอาจเลือกบางจุดเท่านั้น ซึ่ง ศรส.จะต้องวิเคราะห์ว่า หน่วยไหนมีความเสี่ยงและต้องจัดกำลังดูแล ส่วนกรณีที่กปปส.จะปรับแผนการชุมนุม โดยจะไม่มีการปิดหน่วยเลือกตั้ง แต่จะไปกีดขวางเส้นทางจราจรแทนนั้น คงไม่มีผลกระทบ เพราะหน่วยเลือกตั้งส่วนใหญ่อยู่ในชุมชนอยู่แล้ว
ผบ.หน่วยซีลปัดเป็นหลานสุเทพ
ด้านพล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) กล่าวถึงกรณีที่ระบุว่า มีกองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาก่อเหตุรุนแรงในช่วงการชุมนุมของ กปปส.ว่า ตนไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาได้ออกมาแสดงความคิดเห็นพอสมควรแล้ว หากมีการแสดงความเห็นเพิ่มเติมออกไปอีกเกรงว่าจะทำให้สังคมมีความเข้าใจผิด
ทั้งนี้ตนขอปฏิเสธกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า ตนเองเป็นหลานของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกลุ่ม กปปส. โดยยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นหลานของนายสุเทพ และไม่ได้มีที่พำนักอยู่ในภาคใต้ แต่มีบ้านเกิดอยู่ที่จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านเดียวกับเล็ก บ้านดอน ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง
"สุเทพ"นำมวลชนเดินยานสุขุมวิท
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มกปปส. เมื่อวานนี้ (30ม.ค.) ได้มีผู้ชุมนุมจากเวทีต่างๆ มารวมตัวที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอ่อนนุช ก่อนที่จะเริ่มเดินขบวน เชิญชวนชาวกรุงเทพฯ รวมถึงข้าราชการให้ร่วมกันต่อต้านรัฐาลด้วยการปิดกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อเวลา 10.00 น. นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. โดยใช้เส้นทางเริ่มต้นจากอ่อนนุชก่อนเข้าถนนสุขุมวิท และสิ้นสุดที่เวทีอโศก
สำหรับการ การเดินขบวนดังกล่าว เป็นไปตามคำประกาศการยกระดับของนายสุเทพ ที่ปราศรัยบนเวทีว่า จะกีการเดินขบวน 3 วันติดต่อกัน คือ 30-31 ม.ค.และ 1 ก.พ. โดยในวันที่ 31 ม.ค. จะเดินจากถนนลาดพร้าวไปถนนรัชดา จากนั้นวันที่ 1 ก.พ.จะเดินไปเยาวราช และนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 2 ก.พ. ซึ่งตรงกับวันที่มีการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ
ทหารอย่าขวางการคัดค้านเลือกตั้ง
ต่อมาเวลา 19.00 น. นายสุเทพ ได้ขึ้นปราศรัย ที่เวทีปทุมวัน โดยได้สวมเสื้อสีแดงเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน กล่าวอวยพรให้ผู้ชุมนุมมีความสุข พร้อมกล่าวด้วยว่า สีแดงเป็นสีแห่งความดี แต่ผู้ร้ายเอาไปใส่กัน ในปี 2553 แต่ตอนนี้ผู้ร้ายไม่ใส่เสื้อแดงแล้ว ทั้งนี้ ใน 3 วันนี้ กปปส. จะเดินขบวนใหญ่เพื่อแสดงพลังของมวลมหาประชาชนขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบอบทักษิณ ซึ่งนำเสื้อคลุมประชาธิปไตยมาสวมใส่ อ้างประชาธิปไตย แต่พอได้อำนาจมาก็เป็นเผด็จการไม่ฟังเสียงประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีการฉ้อโกงทุจริต คอร์รัปชัน สุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย ดังนั้นจึงเห็นพ้องร่วมกันที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งเรื่องด่วนที่ทำได้ทันทีมี 5 ด้าน คือ การปฏิรูปพรรคการเมือง ปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้ง ปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ผู้ว่าฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งเป็นต้น จะทำสำเร็จได้ต้องทำด้วยมือของประชาชนเพราะหากให้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยปฏิรูปก็คงไม่มีทางยอมปฏิรูปให้เรา
นายสุเทพ กล่าวว่า ตนประกาศชัดเจนว่า ตนต่อต้านการเลือกตั้งคราวนี้ จะตั้งข้อหาเท่าไรก็เชิญ แต่อยากบอกพี่น้องข้าราขการทั้งหลายว่า การเลือกตั้งคราวนี้ เป็นเพียงการซักฟอก เพื่อกลับมามีอำนาจ ดังนั้นอย่าไปเป็นเครื่องมือ ขณะนี้มีประชาชนภาคใต้ไปปิดล้อมสถานที่เก็บบัตรเลือกตั้งอยู่จึงไม่สามารถนำบัตรเลือกตั้งออกมาได้ ตนขอกราบเลยว่า ทหาร โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 4 อย่ายุ่งกับการเลือกตั้งคราวนี้ อย่านำเจ้าหน้าที่ทหารไปคุ้มกันบัตรเลือกตั้ง เพราะประชาชนอยากให้ทหารออกมาคุ้มกันประชาชน ไม่ใช้คุ้มกันบัตรเลือกตั้ง เจตนารมณ์ของประชาชนคือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกองทัพ เพราะเป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับตระกูลชินวัตรเท่านั้น
"เราไม่สนใจการเลือกตั้ง แล้ววันที่ 2 ก.พ. นี้จะไม่ไปการเลือกตั้งด้วย ไม่ต้องมาขู่ว่าจะเสียสิทธิ เพราะจะมาปิกนิคกันที่กลางถนน อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้ (31 ม.ค.) คณะกรรมการ ศรส. จะมาเจรจากับเราที่เวทีปทุมวัน แต่ขอประกาศว่า ไม่เจรจาด้วย เพราะไม่ว่าง กำลังทำงานใหญ่จะไปเดินขบวนไล่พวกมึง จะเริ่มออกเดินที่เวทีลาดพร้าว ส่วนวันที่ 1 ก.พ. หาเสื้อแดงมาใส่ เดินอวยพรพี่น้องที่เยาวราชกัน และในวันที่ 2 ก.พ. จะเป็นวันชุมนุมใหญ่ เป็นปิกนิก ไล่ทรราช ไม่สนการเลือกตั้ง แต่ใครอยากจะไปก็เชิญ" นายสุเทพ กล่าว
วานนี้ (30 ม.ค.) ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.00 น. ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส.และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในฐานะรอง ผอ.ศรส.เรื่องละเมิด ขอให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุม และขอให้ศาลเปิดไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์แล้ว เห็นว่า การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ให้อำนาจฝ่ายบริหาร ในการออกประกาศ เมื่อเห็นว่า สถานการณ์ บ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขัน เพื่อให้แก้ไขสถานการณ์ร้ายแรง และสามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ลุล่วงไปโดยเร็ว แต่การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กล่าว ไม่ได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะมิได้รับความคุ้มครองจากอำนาจศาลยุติธรรม ผู้เสียหาย สามารถยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมได้ ซึ่งโจทก์ อ้างว่าการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของจำเลย ทั้ง 3 นั้น เป็นการจงใจใช้อำนาจโดยมิชอบ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ชุมนุม อันเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ คดีนี้ ศาลแพ่ มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา เป็นการเร่งด่วน ให้ออกหมายเรียกจำเลย ทั้ง 3 คน มาทำคำชี้แจง ภายใน 3 วัน และนัดตรวจหลักพยานหลักฐานและพิจารณา ในวันที่ 6 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.
นายถาวรเปิดเผยภายหลังว่า คดีนี้ศาลรับคดีไว้พิจารณา เป็นการเร่งด่วน และให้ออกหมายเรียกจำเลย ทั้ง 3 ทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ยื่นต่อศาลภายใน 3 วัน และนัดพิจารณาในวันที่ 6 ก.พ.นี้ แต่จำเลยจะเดินทางมาศาลด้วยตนเองหรือไม่ ก็เป็นสิทธิ เพราะคดีนี้ถือเป็นคดีแพ่ง จำเลยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาศาลด้วยตนเอง
ส่วนกรณีที่ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวไว้นั้น ศาลเห็นว่า เป็นเรื่องเร่งด่วน จึงนัดไต่สวนพยานในวันนี้ (30ม.ค.) เวลา 13.30 น. ซึ่งตนจะขึ้นเบิกความ พร้อมกับ นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขา สมช.เป็นพยานเพียง 2 ปาก ส่วนศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ต่อมาเวลา 13.30 น. ทนายโจทก์ได้นำนายถาวร ขึ้นเบิกความว่า นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อปกป้องตนเอง ซึ่งเป็นการกระทบสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ และการใช้ชีวิตประจำวันถูกจำกัด ทั้งการห้ามเข้าสถานที่ราชการ การห้ามสัญจรบนถนน 20 สาย ห้ามมีการชุมนุมเกินกว่า 5 คนขึ้นไป และที่สำคัญมีการยื่นขอออกหมายจับแกนนำ กปปส.ถึง 3 ครั้ง โดยหลังจากมีการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็เกิดความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเพิกเฉย ไม่ดำเนินการจับกุม นอกจากนี้จำเลยยังได้วางแผนสลายการชุมนุมโดยอยู่ในขั้นตอนเตรียมการ มีการเจรจาขอคืนพื้นที่ทั้งที่ และนำกองร้อยปราบจลาจลกว่า 16,000 นาย เตรียมการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงนี้เป็นการให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จำเลยที่ 2 เอง ดังนั้นหากปล่อยให้มีการสลายการชุมนุมจะทำให้เกิดความเสียหายและทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบาดเจ็บล้มตายได้
ภายหลังเบิกความเสร็จ ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินฯในวันที่ 31 ม.ค. (วันนี้) เวลา 15.00 น.
ขอหมายจับ“สุเทพ”ซ้ำนัดไต่สวนวันนี้
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 15.00 น.วานนี้ (30 ม.ค.) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ พร้อมคณะพนักงานสอบสวนได้เดินทางมายื่นคำร้อง เพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส. จำนวน 16 ราย และเพิ่มเติมอีก 3 ราย ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 3.นายชุมพล จุลใส 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5.นายอิสสระ สมชัย 6.นายวิทยา แก้วภราดัย 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 11.นายนิติธร ล้ำเหลือ 12.นายอุทัย ยอดมณี 13.เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ 14.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 15.นายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี หรือ นายอมร อมรรัตนานนท์ 16.นายกิตติชัย ใสสะอาด 17.นายสำราญ รอดเพชร 18.นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และ 19.นายพานสุวรรณ ณ แก้ว ฐานกระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา11(1) และมาตรา 12
ทั้งนี้ ศาลรับคำร้องและเอกสารไว้พิจารณา และนัดไต่สวนหมายจับในวันที่ 31 ม.ค. นี้ เวลา 09.00 น. ห้องพิจารณาคดี 803 ขณะทนายความ กปปส.ได้เดินทางมายื่นคำร้องคัดค้านหมายจับเช่นกัน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ กล่าวว่า ในวันนี้ (31ม.ค.) ทางศรส. ได้จัดคณะเจรจา เข้าเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อไม่ให้ขัดขวางการเลือกตั้ง เวลา 14.00 น.ที่เวทีปทุมวัน
ฟ้อง"ธาริต"อายัดบัญชีแกนนำกปปส.
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจาก นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ที่ปรึกษากลุ่ม กปปส. และนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา เดินทางมายื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ เป็นจำเลยในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 157
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่าง วันที่ 17 ธ.ค. 56 - 9 ม.ค. 57 พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 6/2556 และมีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ รวมทั้งรมว.ยุติธรรม ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุม กคพ.มีมติให้ กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำ กปปส.ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดอาญา สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ กทม. และบางจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 56 เป็นต้นมา เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรค 1 (2) แห่งพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
ต่อมาในวันที่ 18 ธ.ค. 56 นายธาริต จำเลยได้แถลงหลังการประชุมพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ว่าที่ประชุมได้มีมติดำเนินการดังนี้ 1. ออกหมายเรียกแกนนำ กกปส.จำนวน 17 คนให้มารับทราบข้อกล่าวหา 2. ออกคำสั่งให้อายัดบัญชี ของแกนนำกปปส.จำนวน 18 คน ตามมาตรา 24 แห่งพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และออกคำสั่งแจ้งไปยังธนาคารพาณิชย์ของไทยและต่างประเทศ รวม 28 แห่ง อาทิ ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น ให้อายัดบัญชีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำดังกล่าว โดยส่งหนังสือแจ้งคำสั่งไปยังธนาคารทุกแห่ง เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 56
ต่อมาจำเลยเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาการดำเนินคดีแล้วมีมติให้ดำเนินการคดีเพิ่มเติมต่อแกนนำอีก 20-30 คน โดยเฉพาะแกนนำที่อภิปรายในลักษณะผิดกฎหมาย หรือนำมวลชนไปบุกยึดสถานที่ราชการ
นอกจากนี้ จำเลยได้เคยแถลงว่าที่ประชุมมีมติให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติมแล้วแจ้งให้ธนาคารตรวจสอบและอายัดบัญชีเพิ่มเติม เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายเสรี วงษ์มณฑา พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นต้น นอกจากนี้ จำเลยยังแถลงว่า ได้ดำเนินการออกหมายเรียกผู้ต้องหาอีก 37 คน เพื่อรับทราบข้อหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดระหว่างวันที่ 26-27 ธ.ค. 56 ถึง 2 และ 3 ม.ค. 57 แล้วจำเลยได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาอีกด้วย
จากนั้นวันที่ 24 ธ.ค. 56 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศของดีเอสไอ เรื่องมติคณะกรรมการคดีพิเศษ ให้กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ชุมนุมทางการเมืองใน กทม.และต่างจังหวัด ตั้งแต่ 3 ส.ค. 56 เป็นต้นมา รวมถึงบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วม เป็นคดีพิเศษ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมายต่อไป ศาลได้ตรวจคำฟ้องและรับไว้เป็นคดีดำที่ อ.214/2557 พร้อมนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 21 เม.ย.นี้
นายสุวัตรเปิดเผยว่า ได้ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากได้ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ และทำการอายัดบัญชีธนาคารของแกนนำ กปปส.จำนวนหลายคน ซึ่งถือว่าขั้นตอนการดำเนินการไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงมายื่นฟ้องไว้ก่อน ส่วนกรรมการคดีพิเศษคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมประชุมจะทยอยมายื่นฟ้องต่อไป
ผบ.ทบ.สั่งเช็กกองกำลังต่างชาติเข้าไทย
วานนี้ พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวถึงกรณีที่รายงานข่าวระบุว่า มีกองกำลังติดอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอาศัยบริเวณตลาดไท หนอกจอก และมีนบุรี ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ตรวจสอบไปยังกองกำลังบูรพา และกองกำลังสุรนารี ให้ตรวจสอบบริเวณชายแดน โดยเฉพาะด้านตะวันออก ย้อนหลัง 3 เดือนจนถึงปัจจุบัน ว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีกองกำลังต่างชาติติดอาวุธ เข้ามาหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 กองกำลังชี้แจงว่า ยังไม่ปรากฏการเข้ามาในลักษณะกองกำลังติดอาวุธ แต่อาจจะมีทยอยลักลอบเข้ามาตามแนวชายแดนได้
ส่วนพื้นที่บริเวณตลาดไท หนอกจอก และมีนบุรีนั้น ทาง กอ.รมน.ได้ตรวจสอบ และทราบว่า เป็นที่อยู่อาศัยของแรงงานต่างด้าวที่มาใช้แรงงานในประเทศไทย ซึ่งคล้ายกับ จ.สมุทรสาคร ที่มีแรงงานชาวพม่าเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นชุมชน
เมื่อถามถึงกรณีที่ ผบ.ทบ.ระบุว่า หากมีการจลาจล หรือกองกำลังต่างชาติเข้ามาก่อความไม่สงบ ทหารจะออกมาควบคุมสถานการณ์ พ.อ.บรรพต กล่าวว่า เป็นการวิเคราะห์ตามหลักการของงานความมั่นคง ที่ต้องตั้งสมมุติฐานและประเมินเป็นภัยคุกคามสูงสุดเพื่อพิจารณาและเตรียมแผนการรับมือ
“ปัจจุบันรัฐบาลมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งทางทหารสามารถออกมาปฏิบัติงานได้ แต่หากเกิดจลาจลจนควบคุมไม่ได้ เราก็มีกฎหมายอยู่แล้วและมีหลายฉบับที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป ตั้งแต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนถึงการประกาศกฎอัยการศึก แต่ต้องมีการประเมินตามสถานการณ์ว่า จะพัฒนาไปทิศทางใด ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.นี้ จะแตกต่างจากวันเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เพราะหน่วยเลือกตั้งมีมากกว่า อาจทำให้การกระจายของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งไม่ทั่วถึง โดยอาจเลือกบางจุดเท่านั้น ซึ่ง ศรส.จะต้องวิเคราะห์ว่า หน่วยไหนมีความเสี่ยงและต้องจัดกำลังดูแล ส่วนกรณีที่กปปส.จะปรับแผนการชุมนุม โดยจะไม่มีการปิดหน่วยเลือกตั้ง แต่จะไปกีดขวางเส้นทางจราจรแทนนั้น คงไม่มีผลกระทบ เพราะหน่วยเลือกตั้งส่วนใหญ่อยู่ในชุมชนอยู่แล้ว
ผบ.หน่วยซีลปัดเป็นหลานสุเทพ
ด้านพล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) กล่าวถึงกรณีที่ระบุว่า มีกองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาก่อเหตุรุนแรงในช่วงการชุมนุมของ กปปส.ว่า ตนไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาได้ออกมาแสดงความคิดเห็นพอสมควรแล้ว หากมีการแสดงความเห็นเพิ่มเติมออกไปอีกเกรงว่าจะทำให้สังคมมีความเข้าใจผิด
ทั้งนี้ตนขอปฏิเสธกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า ตนเองเป็นหลานของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกลุ่ม กปปส. โดยยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นหลานของนายสุเทพ และไม่ได้มีที่พำนักอยู่ในภาคใต้ แต่มีบ้านเกิดอยู่ที่จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านเดียวกับเล็ก บ้านดอน ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง
"สุเทพ"นำมวลชนเดินยานสุขุมวิท
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มกปปส. เมื่อวานนี้ (30ม.ค.) ได้มีผู้ชุมนุมจากเวทีต่างๆ มารวมตัวที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอ่อนนุช ก่อนที่จะเริ่มเดินขบวน เชิญชวนชาวกรุงเทพฯ รวมถึงข้าราชการให้ร่วมกันต่อต้านรัฐาลด้วยการปิดกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อเวลา 10.00 น. นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. โดยใช้เส้นทางเริ่มต้นจากอ่อนนุชก่อนเข้าถนนสุขุมวิท และสิ้นสุดที่เวทีอโศก
สำหรับการ การเดินขบวนดังกล่าว เป็นไปตามคำประกาศการยกระดับของนายสุเทพ ที่ปราศรัยบนเวทีว่า จะกีการเดินขบวน 3 วันติดต่อกัน คือ 30-31 ม.ค.และ 1 ก.พ. โดยในวันที่ 31 ม.ค. จะเดินจากถนนลาดพร้าวไปถนนรัชดา จากนั้นวันที่ 1 ก.พ.จะเดินไปเยาวราช และนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 2 ก.พ. ซึ่งตรงกับวันที่มีการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ
ทหารอย่าขวางการคัดค้านเลือกตั้ง
ต่อมาเวลา 19.00 น. นายสุเทพ ได้ขึ้นปราศรัย ที่เวทีปทุมวัน โดยได้สวมเสื้อสีแดงเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน กล่าวอวยพรให้ผู้ชุมนุมมีความสุข พร้อมกล่าวด้วยว่า สีแดงเป็นสีแห่งความดี แต่ผู้ร้ายเอาไปใส่กัน ในปี 2553 แต่ตอนนี้ผู้ร้ายไม่ใส่เสื้อแดงแล้ว ทั้งนี้ ใน 3 วันนี้ กปปส. จะเดินขบวนใหญ่เพื่อแสดงพลังของมวลมหาประชาชนขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบอบทักษิณ ซึ่งนำเสื้อคลุมประชาธิปไตยมาสวมใส่ อ้างประชาธิปไตย แต่พอได้อำนาจมาก็เป็นเผด็จการไม่ฟังเสียงประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีการฉ้อโกงทุจริต คอร์รัปชัน สุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย ดังนั้นจึงเห็นพ้องร่วมกันที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งเรื่องด่วนที่ทำได้ทันทีมี 5 ด้าน คือ การปฏิรูปพรรคการเมือง ปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้ง ปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ผู้ว่าฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งเป็นต้น จะทำสำเร็จได้ต้องทำด้วยมือของประชาชนเพราะหากให้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยปฏิรูปก็คงไม่มีทางยอมปฏิรูปให้เรา
นายสุเทพ กล่าวว่า ตนประกาศชัดเจนว่า ตนต่อต้านการเลือกตั้งคราวนี้ จะตั้งข้อหาเท่าไรก็เชิญ แต่อยากบอกพี่น้องข้าราขการทั้งหลายว่า การเลือกตั้งคราวนี้ เป็นเพียงการซักฟอก เพื่อกลับมามีอำนาจ ดังนั้นอย่าไปเป็นเครื่องมือ ขณะนี้มีประชาชนภาคใต้ไปปิดล้อมสถานที่เก็บบัตรเลือกตั้งอยู่จึงไม่สามารถนำบัตรเลือกตั้งออกมาได้ ตนขอกราบเลยว่า ทหาร โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 4 อย่ายุ่งกับการเลือกตั้งคราวนี้ อย่านำเจ้าหน้าที่ทหารไปคุ้มกันบัตรเลือกตั้ง เพราะประชาชนอยากให้ทหารออกมาคุ้มกันประชาชน ไม่ใช้คุ้มกันบัตรเลือกตั้ง เจตนารมณ์ของประชาชนคือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกองทัพ เพราะเป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับตระกูลชินวัตรเท่านั้น
"เราไม่สนใจการเลือกตั้ง แล้ววันที่ 2 ก.พ. นี้จะไม่ไปการเลือกตั้งด้วย ไม่ต้องมาขู่ว่าจะเสียสิทธิ เพราะจะมาปิกนิคกันที่กลางถนน อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้ (31 ม.ค.) คณะกรรมการ ศรส. จะมาเจรจากับเราที่เวทีปทุมวัน แต่ขอประกาศว่า ไม่เจรจาด้วย เพราะไม่ว่าง กำลังทำงานใหญ่จะไปเดินขบวนไล่พวกมึง จะเริ่มออกเดินที่เวทีลาดพร้าว ส่วนวันที่ 1 ก.พ. หาเสื้อแดงมาใส่ เดินอวยพรพี่น้องที่เยาวราชกัน และในวันที่ 2 ก.พ. จะเป็นวันชุมนุมใหญ่ เป็นปิกนิก ไล่ทรราช ไม่สนการเลือกตั้ง แต่ใครอยากจะไปก็เชิญ" นายสุเทพ กล่าว