ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-นอกจาก“ม็อบนกหวีด”จะไม่สยองกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของรัฐบาลแล้ว ยังฮึกเหิมออกมาท้าทายอีกด้วย
เช่นเดียวกับศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ของ “ขี้ข้าเหลิม”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ที่ถูกเย้ยหยันว่า เป็นประเภท ดีแต่เห่า งับไม่เป็น
โดยเฉพาะกลุ่ม กปปส. ถึงขนาดปรามาสรายวันว่า เป็นพวกกระจอก ไร้น้ำยา !!
เนื่องด้วยองค์ประกอบของ ศรส.แห่งนี้ มันไม่สมประกอบมาตั้งแต่คลอด อยู่ในอาการง่อยเปลี้ยเสียขา ไร้ราคาที่ใครจะเกรงขาม หรือพอจะข่มขวัญชาวบ้านได้
เป็นพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจาก ผบ.เหล่าทัพ และไม่ได้ออกมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เพราะสถานการณ์ยังไม่ได้เร้าไปสู่จุดฉิบหายวายวอด เทียบเท่ากับที่เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
แต่เป็นการประกาศเพื่อคุ้มกะลาหัวตัวเอง !!
ขณะที่โครงสร้าง ศรส. ก็แทบไม่ต่างจาก “รัฐตำรวจ”ที่ถูกสถาปนาขึ้นโดย “ขี้ข้าเหลิม” โดยมีพวกผึ้งงานในคอนโทรลอย่าง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา ศรส. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เป็นมือไม้คอยเสกวิชามารใส่“ม็อบนกหวีด”
ไม่มีพลังที่จะกระตุกขวัญมวลมหาประชาชนได้เลย กลับยิ่งสร้างความหมันไส้ให้อีกเท่าทวี
ยิ่งเอาพวกข้าราชการสายพันธุ์กิ้งก่าอย่าง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาเป็นกลไกหลักในการวิ่งไล่ฟัด กปปส.
“ศรส.”ที่ถูกล้อว่าย่อมาจาก“ศูนย์รวมสัตว์”ยิ่งน่าสมเพชหนักกว่าเดิม เพราะหมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว
การขับเคลื่อนศูนย์ที่มี “ขี้ข้าเหลิม”เป็นหัวเรือใหญ่ เท่าที่ผ่านมา ก็ไม่มีทีท่าว่า จะรักษาความสงบได้ หนำซ้ำลักษณะการทำงานยังแทบจะเหมือน “วอร์รูมการเมือง” ที่เอาไว้สุมหัวแก้เกม“ม็อบนกหวีด”และตอบโต้ ทำสงครามข่าวสารรายวัน
ไม่มีอะไรที่เป็นกิจลักษณะ หรือดูดีขึ้นกว่าตอนยังไม่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
มาตรการที่เป็นเสมือนอาวุธหลักของกฎหมายพิเศษฉบับนี้ที่เคยเข้มขลังอย่างมหาศาล สมัย “กำนันเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) พอผลัดเปลี่ยนมาเป็นยุค “ขี้ข้าเหลิม”กลายเป็นของเสื่อม ที่ปราบผีไม่ได้
การตัดท่อน้ำเลี้ยงม็อบที่ขู่ฟ่อมาตลอดตั้งแต่เป็นศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ภายใต้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จนกระทั่งถึง ศรส.ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ณ บัดนี้ ยังไม่มีปัญญาทำอะไรได้ ได้แค่เพียงแขวะคนนู้นคนนี้ แต่ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนสักอย่าง
ตลกร้ายเงินทองกลับยังไหลไปเทไปที่“ม็อบนกหวีด”ไม่มีหยุดหนักกว่าเก่า เพราะเส้นสายความแข็งของ “ท่อน้ำเลี้ยง”กับ “ขี้ข้าเหลิม”มันมวยคนละรุ่น
ไม่มีใครบ้าจี้หงอจนหยุดเพราะน้ำลายเหม็นๆ เพียงไม่กี่หยด
ที่สำคัญ แม้ศาลแพ่งจะไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้หยุดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ก็ได้หมายเหตุว่า ห้ามยึด หรืออายัดสินค้า เครื่องอุปโภค บริโภค เคมีภัณฑ์หรือวัตถุอื่นใด
เผลอๆ คำสั่งอายัดหรือระงับการธุกรรมที่ออกมาจาก ศรส.ในภายภาคหน้า อาจจะเป็นคำสั่งที่มิชอบก็ได้
ไม่ต่างจากเรื่องการออกหมายจับแกนนำ กปปส. ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ล่าสุดศาลอาญาเพิ่งอนุมัติก็ทำได้แค่เท่านั้น ไม่มีปัญญาจะจับใครเขาได้
ได้แต่อ้างเอาหล่อเข้าตัวว่า ไม่อยากเสียเลือด เสียเนื้อ เลยไม่สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปจับตัว ทั้งที่ใครๆก็รู้ไส้รู้พุง “ขี้ข้าเหลิม”ดีว่า เป็นประเภทขี้ขลาดตาขาวตัวพ่อ โดยเฉพาะเรื่องที่สุ่มเสี่ยงจะเข้าคุกเข้าตะราง ไม่เอาเป็นอันขาด
เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า หากซุ่มซ่ามเข้าไปชาร์จตัวแกนนำ กปปส. แล้วเกิดการปะทะสูญเสีย คนที่เสี่ยงเข้าซังเตมิวายต้องเป็นผู้มีอำนาจรัฐ
กับบทเรียนสมัยรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่หน้ารัฐสภา เมื่อปี 2551 ซึ่งมีพี่น้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก สุดท้ายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลกราวรูด ตั้งแต่หัวถึงหาง
ทั้งนายสมชาย ทั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคงสมัยนั้น ทั้งพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.สมัยนั้น ไม่มีใครรอดสักราย
จุดจบพวกลุอำนาจมีอยู่ท่นโท่ คนอย่าง “ขี้ข้าเหลิม”อย่างไรก็ต้องผวา แต่ที่ต้องตีเกราะเคาะไม้ทุกวันว่าจะจับ ก็แค่ไว้ลาย“ผอ.ศรส.”
เช่นเดียวกับการสั่งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จัดการเนรเทศ นายสาธิต เซกัล แกนนำ กปปส. ซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวออกจากประเทศ ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มันชอบด้วยกฎหมาย และเลวร้ายถึงขั้นเนรเทศออกจากประเทศไทยได้หรือไม่
เป็นโทษที่สูงเกินไปจนแจ่มชัดว่า จงใจกลั่นแกล้งโดยใช้อำนาจรัฐ เพราะหากนำไปเปรียบเทียบกับกรณีคนเสื้อแดงบางคนที่จาบจ้วงสถาบันฯ รัฐบาลชุดนี้ไม่เคยคิดตะเพิดออกจากแผ่นดิน หนำซ้ำ ยังฟูมฟักเหมือนกับไข่ในหิน
สุดท้ายหากนายสาธิต ลุกสู้ตามกฎหมาย คนที่หน้าหงายอาจเป็น ศรส.เอง
ตลอดจนการเร่งเครื่องฟันประชาชนที่ออกมาขัดขวางการเลือกตั้ง รวมทั้งกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ที่ถูกตั้งข้อสงสัยจาก ศรส.ว่า จงใจละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ว่าศรส.เองมีอำนาจครอบจักรวาลขนาดนั้นเลยหรือไม่
เพราะหากกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งทำผิด คนที่จะต้องตรวจสอบก่อนใครควรจะต้องเป็น“กกต.”ก่อน จากนั้นจึงจะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ศรส.กร่างคับฟ้า ทำท่าเหมือนมีอำนาจจะเชือดเอง
ด้วยความหละหลวมและบ้องตื้นข้างต้น ทำให้ “ม็อบนกหวีด”ดื้อยา จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แบบไม่รู้สึกอะไร
และหากว่ากันตามจริง เหตุที่ “ขี้ข้าเหลิม”เอาแต่ฝอยน้ำลายแตก ขู่ม็อบ ส่วนหนึ่งก็ต้องการตะโกนให้ “นายใหญ่”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยินว่า ตนเองทุ่มเทกับหน้าที่ที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางขนาดไหน
เพราะรู้อยู่แล้วว่า นิสัย “นายใหญ่”ใครทำอะไรให้ มักจะตบรางวัลให้อย่างสาสม โดยเฉพาะการฝันกลับไปนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ “ขี้ข้าเหลิม” ยังติดใจในความหอมหวาน บ่นพึมพำอยู่ทุกวัน
เพราะหากงานนี้สำเร็จ และ“ระบอบทักษิณ”ยังอยู่ในอำนาจรัฐ โอกาสที่จะสลัดเก้าอี้ “จับกัง 1”ไปเสวยสุขอยู่ในเก้าอี้ “เกรดดับเบิ้ลเอ” ย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ทุกวันนี้เลยต้องเทกแอ็กชั่น กันหนักๆ หน่อย และคงจะทำได้แค่ขู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อโชว์ผลงาน แต่จนวันยังค่ำ อย่างไงก็ไม่กล้าทุบม็อบ
เพราะพันธุ์นี้เห่าเป็นอย่างเดียว ไม่งับ !!!.