รายงานการเมือง
โดนค่อนแคะว่าไม่เข้มขลังเหมือนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ของ “กำนันเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ สมัยนั่งเก้ารองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง สำหรับศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ของ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ใหญ่
ถูกเหยียดหยามว่า เป็นแค่ “ศูนย์รวมสัตว์” ตั้งเอาไว้รวบรวมพลพรรคสิงสาราสัตว์ของเครือข่ายระบอบทักษิณ นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม เป็นหัวเรือใหญ่พร้อมสมุนบริวาร ลิงค่างวานรฝ่ายตำรวจ
ทั้ง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา ศรส. “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เรื่อยไปจนถึงตัวเล็กตัวน้อยในแวดวงสีกากีที่เป็นบริวารของ ร.ต.อ.เฉลิม
รวมไปถึงข้าราชการประจำประเภทเปลี่ยนสียิ่งกว่าจิ้งจกตุ๊กแก อย่างนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่เป็นมือไม้สำคัญในการดำเนินการต่างๆ ของ ศรส.แห่งนี้
แต่ไร้เงาบิ๊กทหารในกองทัพที่ไม่ร่วมสังฆกรรมตั้งแต่ต้น จะมีเพียงแต่พวกทหารแตงโมที่ร่วมมาแจมบ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะ “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เลือกข้างแล้ว
ขณะที่รัฐมนตรีในรัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไปนั่งทำงานอยู่ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานีมากกว่า
จะมีมาร่วมประชุมกับ ศรส.บ้างก็แค่ “อ้ายปึ้ง” นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม และพล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม
ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ทั้งที่เป็นที่ปรึกษาอยู่ใน ศรส. แต่เห็นหัวน้อยมาก ก็อาทิ “กุ๊ยคลองหลอด” นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ว่ากันว่า เพราะเป็นคนละขั้วกับ ร.ต.อ.เฉลิม
เป็น ศรส.ที่เหมือนรวมมิตร ร.ต.อ.เฉลิมมากกว่า แถม “ปูกรรเชียง” ยังไม่เคยเหยียบเท้าเข้ามาเยี่ยมสักครั้ง
ขณะเดียวกัน ก็เป็น ศรส.ที่พิกลพิการไม่น้อยทั้งเรื่องรูปแบบการทำงาน และโครงสร้าง เริ่มตั้งแต่เรื่อง “ที่ตั้งศูนย์” กว่าจะมาลงเอยที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้ต้องระหกระเหินไปนู่นทีนี่ที
อย่างสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานีที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะตั้งเป็นฐานบัญชาการ เพราะเห็นว่า เป็นพื้นที่ทหารกลุ่ม กปปส.คงไม่กล้ายุ่มย่าม แต่ดันประเมินผิดพลาดถนัดเพราะม็อบนกหวีดยกพลมาบุกประชิดตั้งแต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผลบังคับใช้ แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะ ผอ.ศรส. ยังไม่ทันเข้าประชุมครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ
ก่อน ร.ต.อ.เฉลิม จะยกคณะทำงานเผ่นไปประชุมที่กระทรวงแรงงานถิ่นฐานตัวเองแต่ก็ต้องกระเจิงไม่เป็นท่าเพราะเจอมวลมหาประชาชนล้อมจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน
กระทั่งเหลือบไปเห็นกองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) ที่รัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปยืมอาศัยชายคาเป็นสถานที่ประชุม ครม.ในช่วงมรสุมการเมืองเพราะเห็นว่า กว้างขวาง ปลอดภัย ม็อบนกหวีดไม่กล้าเข้าปั่นป่วนแน่แต่สุดท้ายหน้าแหกกันยับ หลังจาก “บิ๊กจิน” พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.เบรกล้อแตกกระจาย
ดับฝันพื้นที่ทหารไปหมดเลย!!
หันมามองพื้นตำรวจในกรุงเทพมหานครตอนนี้ก็จำกัดเต็มทนโดยเฉพาะป้อมบัญชาการเก่าอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่กลับตาลปัตรกลายเป็นที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่ง หลังกปปส.จัดการชัตดาวน์แยกราชประสงค์ อยู่ใกล้ๆ แบบจ่อคอหอย
เหลือที่เดียวคือ บช.ปส. ในสโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต ที่พอจะหลบแดดหลบฝนได้ โดยเฉพาะชัยภูมิที่เหมาะแก่การตั้งรับม็อบทั้งทางเข้าแคบ วางแนวแบริเออร์และรั้วลวดหนามยากแก่การฝ่าด่านทางหนีทีไล่มีมากกว่าหนึ่งเส้นทาง อุปกรณ์หลายอย่างเพรียบพร้อม
ถ้าตั้งเป็นฐานตั้งรับ โอกาสเจาะทะลวงเข้ามาได้ยากมากๆ ยิ่ง ร.ต.อ.เฉลิมสร้างอาณาจักรตำรวจด้วยการตรึงกำลังกว่า 70 กองร้อยอยู่ภายในเป็นปราการด่านที่หินพอสมควร ตามยุทธศาสตร์ตั้งรับเหนียวแน่น เพราะหากด่านนี้แตก ผอ.ศรส.ประกาศแล้วว่าต้องอพยพกันไปอยู่ที่กองร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม สถานเดียวเพราะหมดพื้นที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ร.ต.อ.เฉลิมจึงออกมาเย้วๆ ท้าม็อบทุกวันหากเก่งจริงให้มา เพราะเชื่อว่าสามารถรักษาป้อมปราการด่านนี้ไว้ได้
แต่ก็เก่งเฉพาะลีลาฝีปากเท่านั้น เพราะเวลาม็อบนกหวีดแวะมาเยือนอยู่ด้านหน้าสโมสรตำรวจ กรรมการ ศรส.ที่กำลังนั่งประชุมอยู่ก็แตกตื่นเตลิดเปิดเปิงหางจุกตูดรีบกลับกันชุลมุนทุกรอบ
ขณะที่การทำงานของ ศรส.ก็ดูหละหลวมไม่ค่อยขึงขัง เหมือนจับฉ่าย ผลการประชุมทุกวันเอาแต่ขู่ฟ่ออย่างเดียวโดยเฉพาะการมอบหมายให้ “ธาริต” ออกมาเป็นหนังหน้าไฟแถลงมาตรการทางกฎหมายกำราบม็อบ ส่วน ร.ต.อ.เฉลิมให้สัมภาษณ์ด่าม็อบทุกเช้า ไร้ราศี ผอ.ใหญ่
เริ่มตั้งแต่การขอเปิดพื้นที่ราชการ ที่วางกรอบจะเอาเวที กปปส.แจ้งวัฒนะ ของหลวงปู่พุทธะอิสระคืนเป็นแห่งแรก แต่จนแล้วจนรอดยังทำอะไรไม่ได้ เลื่อนเดดไลน์แล้วเลื่อนเดดไลน์อีกรวมไปถึงสะพานพระราม 8 ที่ ร.ต.อ.เฉลิม บ่นเช้าบ่นเย็น งัดมุกวิชามารสารพัดว่าจะมีคนเอาระเบิดไปเขวี้ยง
ยังมีมุกเขียนเสือให้วัวกลัวว่า พร้อมแตกหักที่ระยะหลังเริ่มพูดบ่อยแต่ยังได้แค่ “จะ”
ไล่ไปจนถึงการออกหมายจับแกนนำ กปปส. ที่กว่าศาลอาญาจะอนุมัติก็ทำเอาเหงื่อแตกไปหลายรอบเช่นเดียวกับการลั่นว่าจะ ตะปบพวกตัวใหญ่ในม็อบนกหวีด
การตะโกนข่มพวกนายทุนท่อน้ำเลี้ยง การเนรเทศนายสาธิต เซกัล แกนนำ กปปส. ในฐานะคนต่างด้าว การเอาผิดประชาชนที่ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง
แต่สุดท้ายเหล่านี้ ศรส.ยังทำได้แค่ลมปากพร้อมกับคำว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด
ไม่ต่างอะไรจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ไร้ความน่าเกรงขามกลายเป็นคนประกาศที่ต้องตกอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน “ปูกรรเชียง” ต้องระเหเร่ร่อนหลบม็อบวันต่อวัน “สารวัตรเหลิม” ฝอยน้ำลาย เก่งแต่อยู่ในที่ตั้ง
ตำรวจภายใต้โครงสร้าง ศรส. ทำงานประหนึ่งหลับหูหลับตาเหมือนแบ่งกฎหมายเป็นสองมาตรฐาน คดี กปปส.โดนคุกคาม ทั้งระเบิด ทั้งอาวุธสงคราม ทำร้ายจนมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตไม่มีความคืบหน้า แม้หลักฐานจะโจ่งแจ้งเห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง
แต่คดีปะทะกันที่แยกหลักสี่ พลพรรคกากีมะเขือเทศจัดหนักจัดเต็มทั้งพยานหลักฐาน โจมตี กปปส.กันยกใหญ่ ส่วนนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” ปกป้องอย่างกับไข่ในหิน ทั้งที่เป็นตัวต้นเหตุหลายครั้งหลายคราว แต่ยังลอยนวล
ถึงขนาดกองทัพต้องออกมารีบเบรกตำรวจว่า อย่าเพิ่งสรุปเพราะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย จนสุดท้ายต้องรีบกลับลำว่าวิถีกระสุนมาจากทางทั้งสองฝ่าย
ศรส.วันนี้แทนที่จะรักษาความสงบเหมือนชื่อ แต่พฤติกรรมชักเหมือนอันธพาลขี้ครอกเข้าทุกวัน!!!