xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณ ชินวัตร กับต้นเหตุการแตกแยกของคนในชาติ

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์
indexthai2@gmail.com
http://twitter.com/indexthai2

“สาเหตุหรือต้นเหตุ” ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายเรื่องทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ บางเรื่องจุดเริ่มต้นดี ต้นทางดี ก็นำความเจริญมาสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง เวลายิ่งผ่านไป ความเจริญก็เพิ่มมากขึ้น หมายถึงความเจริญทางจิตใจมากกว่าความเจริญทางวัตถุ บางเรื่องจุดกำเนิดไม่ดี ต้นทางไม่ดี ต้นเหตุไม่ดี ก็จะนำความเสื่อมมาสู่ระบบแบบต่อเนื่อง เวลายิ่งผ่านไปความเสื่อมก็เพิ่มมากขึ้น นำความเดือดร้อนวุ่นวาย ทุกข์เข็ญลำเค็ญมาสู่ระบบมากขึ้น เมื่อเรารู้ต้นเหตุ ก็จะทำให้ติดตามเหตุการณ์ที่ตามมาได้อย่างเข้าใจ หากไปตัดตอนบางช่วงมาพิจารณา โดยไม่สืบสาวราวเรื่องไปถึงต้นเหตุ ก็จะทำให้ไม่เข้าใจได้

อุดมการณ์ทางการเมือง คือการเสียสละ ทำงานเพื่อสร้างความเจริญให้ประเทศชาติ เป็นเพียงวลีที่สวยงามเท่านั้น แท้จริงแล้วได้มีการยึดเอาการเมืองมาเป็นอาชีพ เอามาหาประโยชน์ส่วนตนอำนาจไม่ได้หวงไว้เพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ แต่หวงไว้เพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนประเทศเราเป็นแบบนี้มา 82 ปีแล้ว นับวันการหาประโยชน์ส่วนตนมีแต่หนักข้อมากขึ้นทุกวัน ไม่ได้มีความละอายแก่ใจแม้แต่น้อย ไม่ได้ทำมาหาประโยชน์ตามธรรมดาทั่วไป แต่มีการดูดทรัพยากรของส่วนรวมไปเป็นของส่วนตนด้วย ประเทศชาติประชาชนจะประสบกับความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ไม่ทราบว่าประเทศเราจะอยู่กับสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด

ต้นเหตุอะไรคนจึงได้รักและหลงใหลทักษิณ

คนรักทักษิณทักษิณมีเงินมาก เป็นเจ้าของพรรคการเมือง ทำการซื้อนักการเมืองที่มีคะแนนนิยมดีเข้ามาไว้ในพรรค ทำให้พรรคมีคะแนนนำในการเลือกตั้งทุกครั้ง เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ใช้อำนาจมาหาประโยชน์ในด้านต่างๆ กำหนดโครงการขึ้นมา เพื่อให้ได้ใช้งบประมาณ แล้วฉ้อฉลเอาประโยชน์จากงบประมาณเหล่านั้น คนรักทักษิณจริงคงมีไม่มาก ส่วนใหญ่รักผลประโยชน์ที่ได้รับจากทักษิณมากกว่า คนหลงใหลทักษิณมีมากกว่าคนรักทักษิณ

ที่เป็นวิกฤตประเทศก็สามารถแปลงมาเป็นประโยชน์ส่วนตนได้ ที่ไม่เป็นวิกฤตประเทศก็สามารถแปลงมาเป็นประโยชน์ส่วนตนได้เช่นกัน จงใจจะสร้างงานสร้างโปรเจ็คท์ขึ้นมาเพื่อการคอร์รัปชันแปลงทุกอย่างให้เป็นโอกาสของตนเองได้ทั้งหมด ไม่ได้มาแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ แต่มาก่อปัญหาให้ประเทศชาติ

แปลงวิกฤตน้ำท่วมประเทศในปี 2554 มาเป็นโอกาสคอร์รัปชันให้แก่ตนเองข่าวว่าเจ๊ ด.ได้ประโยชน์มากกว่าใคร โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม3.5 แสนล้านไม่สมเหตุสมผล คิดโครงการขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบการคอร์รัปชันเป็นส่วนใหญ่

เรื่องข้าวของชาวนาไม่ใช่วิกฤตของประเทศ แต่ก็เอามาบริหารจัดการจนเกิดวิกฤตขึ้นมาได้ทำได้ลงคอ 2 ปีที่ผ่านมาขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท ตอนท้ายไม่มีเงินชำระค่าข้าวแก่ชาวนา ชาวนามีใบประทวนไว้ดูต่างหน้าถือใบประทวนไว้ 4-5 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับการชำระค่าข้าว รัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณยังย่ามใจจะเดินหน้าจำนำข้าวแบบเดิมต่อเป็นปีที่ 3

ไม่ทราบเอาส่วนไหนมาคิด ราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดโลกมาก ทำให้เกิดปัญหามาก มีคนได้ประโยชน์จากการแตกต่างของราคาจำนำและราคาตลาดโลกชาวนาตัวจริงได้ไม่ไม่มาก และยังมีชาวนาจำนวนมากยังไม่ได้รับการชำระค่าข้าวที่นำมาจำนำ

อภิมหาโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูง ต้องกู้เงินสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท เท่ากับงบประมาณแผ่นดินใน 1 ปีผู้เขียนเชื่อว่าเป็นโครงการณ์ที่จะก่อให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในอนาคต รัฐบาลไม่ได้สนใจเรื่องใดทั้งสิ้น สนใจแต่ประโยชน์ส่วนตนและจงใจจะทำให้ประเทศย่อยยับ เมื่อประเทศย่อยยับแล้ว จะทำให้พวกเขาได้ฮุบทรัพยากรของประเทศในราคาถูกได้มากขึ้น

การกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ เนื่องจากติดอัตราส่วนของหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของประเทศที่อยู่ที่ระดับสูง แต่ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ทำได้โดยการโอนหนี้สาธารณะในส่วนหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินประมาณ 1 ล้านล้านบาท ไปไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลดลง จนสามารถกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทได้ งบประมาณมีเงินกู้มากเท่าใด มูลค่าการคอร์รัปชันก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

หมายเหตุ หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟู เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้สรุปความเสียหายไว้เมื่อปี 2541 ว่ามี 1.4 ล้านล้านบาท ช่วงระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา หรือระหว่างปี 2541-2554 ได้มีการชำระหนี้ไปบางส่วน ประมาณ 4 แสนล้านบาท ทำให้เหลือหนี้มาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณในปี 2554 ประมาณ 1 ล้านล้านบาท แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณได้มีการโอนไปไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

หนี้ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นรองนายกรัฐมนตรีมี 2 กองใหญ่คือ

1) หนี้ไอเอ็มเอฟ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5.5 แสนล้านบาท ประเทศไทยได้ชำระหนี้ก้อนนี้หมดในกลางปี 2546 ในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและเป็นการใช้หนี้ก่อนครบกำหนด2 ปี สาเหตุที่ใช้หนี้ IMF ได้หมดอย่างรวดเร็วไม่ได้เกิดจากความสามารถของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะตลาดหุ้น NASDAQ ของอเมริกาพังทลายรุนแรงระหว่างปี 2543- 2545 ที่ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐไม่ได้รับความเชื่อมั่น นักลงทุนพากันทิ้งการถือครองเงินเหรียญสหรัฐ ไปถือเงินสกุลอื่นแทน ทำให้เงินเหรียญสหรัฐไหลออกจากประเทศสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งไหลเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทำให้ทุนสำรองของประเทศไทยสูงขึ้น (ตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้) จนสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้นั่นเอง2) หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.4 ล้านล้านบาท มีการชำระหนี้ไปบางส่วนแล้ว และเหลือหนี้มาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณประมาณ 1 ล้านล้านบาท และได้โอนไปไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่นำเสนอไว้ข้างต้นนั่นเอง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนวาจาพล่อยและกล่าวคำมุสาง่าย ไม่มีความละอายแก่ใจตน ไม่เกรงกลัวต่อบาป สวมรอยการหมดภาระหนี้กับ IMF ในกลางปี 2546ในช่วงรัฐบาลของตนมาโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นฝีมือตน ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายให้ทราบแล้วว่าการชำระหนี้ IMF หมด ไม่ได้เกิดจากความสามารถของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่อย่างใด (ตามที่นำเสนอไว้ข้างต้น) หากว่าทักษิณเก่งจริง ก็ต้องชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูให้หมดไปเหมือนการชำระหนี้ IMF ด้วย แต่ทำไม่ได้ นอกจากไม่คิดชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูแล้ว ยังโอนหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูออกไปไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วย

ทักษิณไม่เพียงแปลงสินทรัพย์เป็นทุนแปลงวิกฤตและไม่วิกฤตเป็นโอกาสเฉพาะตนเท่านั้นแต่ยังแปลงคนไทยเป็นตัวกินหญ้าในเวลาเดียวกันด้วย

คนหลงใหลทักษิณการมาเป็นรัฐบาลของทักษิณในปี 2544 เป็นที่มารายการ “นายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์” นายกฯ (ทักษิณ) พบประชาชน ทุกเช้าวันเสาร์ เวลา 08.00-09.00 น. ทางสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ คลื่น FM 92.5 เมกะเฮิรตซ์ และทางโทรทัศน์ช่อง 11 ของกรมประชาสัมพันธ์ รับชมได้ทั่วประเทศ นักการเมืองส่วนใหญ่เป็นคนที่พูดเก่ง พูดน่าฟัง

ความแล้วจริงทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ได้รายงานข่าวทุกวันอยู่แล้ว ว่ารัฐบาลทำอะไรบ้าง ไม่จำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องมารายงานผลงานของรัฐบาลแต่อย่างใด

รายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ ถูกนำมาเป็นรายการโฆษณาชวนเชื่อในการทำงานและความคิดของพ.ต.ท.ทักษิณเอง ยกตน เอารัดเอาเปรียบฝ่ายอื่น เอารัดเอาเปรียบระบบ รวมทั้งใช้รายการกล่าวหาฝ่ายอื่นและผู้อื่น กล่าวหาอำมาตย์มอมเมาระบบโดยที่ฝ่ายอื่นไม่มีโอกาสได้ตอบโต้และทำความเข้าใจได้ ต่างจากการโต้ตอบในสภาผู้แทนที่ให้เวลาตอบโต้กันอย่างยุติธรรมและเวลาแต่ละฝ่ายมีจำกัด การใช้เวลาของแต่ละฝ่ายจึงมีค่ายิ่ง

จากปี 2544 ที่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐบาล กระทั่งถูกรัฐประหารในปี 2549 รวมระยะเวลา 6 ปี ไม่มีเสาร์ใดที่ไม่มีรายการนายกฯ พบประชาชน แม้จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ก็ยังมีการรายการนายกฯ พบประชาชนมาจากต่างประเทศโดยไม่ได้ขาดหายไป ใน 1 ปีมี 52 เสาร์ เท่ากับ 6 ปีมีรายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าประมาณ 312 ครั้ง แม้ระยะหลังที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก็โฟนอินและวิดีโอลิงก์มายังที่ชุมนุมมวลชน แล้วสื่อต่างๆ ก็นำมาเสนอต่อมายังสาธารณะ เป็นรูปแบบของการปลุกระดม วลีที่ใช้เป็นประจำ “เป็นห่วงประเทศไทย เป็นห่วงพี่น้องประชาชนคนไทย อยากให้คนไทยและประเทศไทยมั่งคั่ง ตามทันประเทศอื่น”

ที่จริงแล้วรูปแบบรายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์เป็นรูปแบบที่ดี ถ้าผู้ทำรายการมีสัมมาทิฐิ สามารถใช้เป็นช่องทางสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนได้อย่างดี นำความสามัคคี นำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่สังคมได้อย่างดียิ่ง แต่หากผู้ทำรายการเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ ทำไปเพื่อประโยชน์ตน ก็จะทำให้สังคมเกิดการแตกแยกนำความเสื่อมความเดือดร้อนมาสู่ระบบ เหมือนกับที่เกิดอยู่กับประเทศไทยทุกวันนี้

รายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ โดยเฉพาะคนพูดในรายการเป็นผู้นำประเทศ ผู้คนจะสนใจมาก เป็นรูปแบบทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อมวลชนสูง แต่มีปัจจัยซ่อนเร้นในการดำเนินรายการ จงใจให้คนฟังเชื่อมากกว่าสร้างความเข้าใจ การพูดบ่อยๆ พูดซ้ำๆ ทุกสัปดาห์ ตอกย้ำความเชื่อให้แก่ผู้ฟังอย่างฝังแน่น อย่างยากที่จะถอนตัวจากความเชื่อนั้นได้

รายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ เป็นรายการยอดฮิต มีคนติดตามรายการมาก คนหลงใหลทักษิณจึงมีมาก เป็นเรื่องยากที่คนฟังจะแยกออกว่าเรื่องใดจริงเรื่องใดเท็จทักษิณอวดอ้างว่าตนเองเป็นคนทันสมัย พูดถึงความเจริญความทันสมัยของโลกไร้พรมแดน

ผู้เขียนไม่ได้เห็นตามที่ทักษิณพูดเป็นส่วนใหญ่ ไม่เห็นว่ามีประเทศไหนเจริญจริงตามที่ทักษิณพูดประเทศสหรัฐฯ ล้มลงและล้มละลายในปี 2000 จนต้องนำมาตรการ QE มาใช้ ยุโรปล้มลมและล้มลายในปี 2008 ในกรณี Hamburger crisis ประเทศจีนถูกยึดครองโดย WorldHedge Fundsในปี 2005 ทำให้เงินหยวนไม่สามารถผูกค่าคงตัวไว้ต่อไปได้ ต้องลอยค่า และลอยค่าสูงขึ้นมากระทั่งทุกวันนี้

สนามบินสุวรรณภูมิไม่ใช่สนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก สนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย

ประเทศสาธารณะประชาชนลาวก็ไม่ได้มีทักษิณเป็นผู้นำ แต่ก็มีความทันสมัย มีโทรศัพท์มือถือใช้ ทันสมัยมากกว่าประเทศไทยอีกด้วย เป็นระบบ 4G LTE

ฟังทักษิณพูดแล้วไม่ได้ข้อมูลและความรู้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้น ได้ยินแต่เขามอมเมาคนในชาติอย่างเดียว

ผู้คนอาจจะแย้งว่า หากทักษิณไม่เก่งไม่ฉลาดจริงจะมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างไร ก็มั่งคั่งจากการโกงชาติ ปล้นชาติและขายชาตินั่นเอง คนรวยอื่นๆ ทำมาหากินนอกทรัพยากรของชาติ แต่ทักษิณทำมาหากินกับทรัพยากรของชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่นทำมาหากินกับกิจการโทรคมนาคม ทำมาหากินกับ ปตท.และพลังงานของชาติเป็นต้นเหตุในคนในชาติต้องใช้ราคาพลังงานแพงติดอันดับต้นของโลก ส่งผลให้สินค้าและบริการในประเทศแพงขึ้นตลอดเวลา ความเป็นอยู่แพงขึ้น การขนส่งการเดินทางแพงขึ้น เอาสถานการศึกษาออกนอกระบบ เอาสถานพยาบาลออกนอกระบบ ค่าการศึกษาของลูกหลานแพงขึ้น ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น

คนระดับกลางถึงคนระดับสูงกระทั่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยบางส่วนก็หลงใหลทักษิณ กลายมาเป็นกระบอกเสียงให้ทักษิณโดยไม่ต้องใช้ผลประโยชน์ตอบแทนเหมือนแกนนำ นปก.แต่อย่างใดหลงใหลเพราะเชื่อมากกว่าหลงใหลเพราะเข้าใจ

ส่วนคนระดับล่างยิ่งไม่รู้เรื่องในเรื่องที่ทักษิณพูดแต่หลงใหลในผลประโยชน์ต่างๆ ที่นำมาหลอกล่อหลอกลวงมากกว่า ลองพิจารณาจาก 2 ลิงก์ต่อไปนี้ http://www.youtube.com/watch?v=7hEryrhXLq
http://www.youtube.com/watch?v=6rXnD9ivUL0

คนเห็นต่างจากทักษิณ

รายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเชื่อและหลงใหลการพูดของทักษิณ แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งตามทันการพูดของทักษิณ ไม่เชื่อในสิ่งที่ทักษิณพูดและทราบว่าเป็นการมุสาต่อสังคม กระทั่งให้ชื่อรายการกันเองว่า “รายการนายกฯ โกหกทุกเช้าวันเสาร์” จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนในชาติเกิดความแตกแยกทางความเชื่ออย่างมีนัยสำคัญ

ปี 2548 นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ประธานมูลนิธิกองทัพธรรมของกลุ่มญาติธรรมชุมชนอโศก ออกมาวิจารณ์เรื่องการมุสาของทักษิณผ่านรายการนายกฯ พบประชาชนในเช้าวันเสาร์ วิจารณ์ถึงการเบี่ยงเบนในวิสัยทัศน์ปรัชญาจริยธรรมและคุณธรรมของทักษิณ เกิดเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง ใช้ “มือตบ” เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม

ในเวลาต่อมาปี 2550 ทักษิณก็สร้างกลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นมาต่อสู้กิจกรรมทางการเมืองกับคนเสื้อเหลือง คือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปก.) ชื่อแรกเริ่มคือแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ โดยมีสีแดงหรือเสื้อสีแดงและ “เท้าตบ” เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม

การแตกแยกของคนในชาติ เริ่มก่อตัวเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น

เมื่อพิจารณาช่วงระยะเวลาที่นำเสนอมาข้างตน กล่าวได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนต้นเหตุทำให้เกิดความแตกแยกของคนในประเทศ

แตกแยกในทางความเชื่อ แตกแยกในความศรัทธา คนในครอบครัวแตกแยกกัน คนในกลุ่มเพื่อนๆ แตกแยกกัน คนในองค์กรแตกแยก คนในหน่วยงานแตกแยก เป็นการแตกแยกไปในทุกชุมชนของประเทศไทย

ผู้เขียนไม่ตำหนิคนไทยที่แตกแยกกัน เหมือนที่หลายฝ่ายต่อว่าคนไทยยุคนี้แตกแยกกัน ไม่รักไม่สามัคคีกันแต่ผู้เขียนตำหนิผู้ที่ทำให้คนไทยแตกกันมากกว่า

อย่างที่นำเสนอไว้ ทักษิณคิดเปลี่ยนสิ่งลบที่ตนเองทำไว้ให้เป็นโอกาสของตนเองเสมอๆ และทำสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ คนที่ทำให้เกิดความแตกแยกในชาติ คิดทำเรื่องปรองดองของคนในชาติ พยายามออกพ.ร.บ.ปรองดอง ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยอธิบายว่าเพื่อลดความแตกแยกของในสังคม ผู้ใดคัดค้านพ.ร.บ.ดังกล่าว คือผู้ต่อต้านความปรองดองของคนในชาติ ไปโน่นเลย ถ้าตนเองไม่ทำให้สังคมแตกแยก ก็ไม่จำเป็นต้องมาออกพ.ร.บ.ให้เกิดการปรองดองของคนในชาติแต่อย่างใด

ทักษิณวาจาไวพล่อย มั่ว และจาบจ้วง โยนความผิดเรื่อง “ความแตกแยกของคนในชาติ” ออกนอกตัว “โยนการจัดการความแตกแยกของคนในชาติ” ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้อื่น โดยซ่อนตนเองที่เป็นต้นเหตุความแตกแยกของคนในชาติไว้แล้วแสดงให้เห็นว่าตนเองมีคำแนะนำที่มีประโยชน์หวังดีต่อประเทศชาติ เห็นได้จากหนังสือ Conversations With Thaksin โดย Tom Plate พิมพ์จำหน่ายที่สิงคโปร์ ในปี 2554 แปลโดย สมเกียรติ อ่อนวิมล



“Tom : ใครบ้างที่พอจะกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีแห่งประเทศไทยได้? พระสันตะปาปาหรือ? อัลเลาะห์ได้ไหม? พระพุทธเจ้าล่ะจะพอได้ไหม? พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีจะทรงรับฟังใครบ้าง?”

Thaksin : ผมว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงเคารพความเห็นจากนานาประเทศ ดังนั้นถ้าหากมันเป็นความเห็นของชาวโลกว่าถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยจะต้องปรองดองกัน และให้มีการกราบบังคมทูลปรึกษาหารือกับพระเจ้าอยู่หัวแล้วให้ความคิดบางอย่างกับพระองค์สักหน่อย ถ้าได้อย่างนั้นพระองค์ก็อาจกลับมาทรงคิดได้บ้างว่า เอาหล่ะ นี่เป็นทางออก ผมเชื่อว่านั่นคือทางออกในการแก้ปัญหา

Tom: … สมมติว่าจะมีคนที่น่าเคารพสักคน --- เช่น นายบัน คี-มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ --- สมมติว่าให้ท่านไปกรุงเทพฯ แล้วเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว โดยบอกว่า ‘ความวุ่นวายและการนองเลือดทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับประเทศไทยเลย ทำไมจึงปรองดองกันไม่ได้?’ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงรับฟังไหม? พระองค์จะให้นายบัน คี-มูน เข้าเฝ้าไหม?

Thaksin : ผมว่าโดยตำแหน่งของนายบัน คี-มูน พระเจ้าอยู่หัวจะทรงต้อนรับท่านแน่ ตำแหน่งระดับสูงเช่นนั้นเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมในอันที่จะเป็นผู้นำระดับนานาชาติ เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุระดับอาวุโสมาก พระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศที่ทรงอาวุโสมากที่สุด

ครับ ผมว่ามันเป็นงานในหน้าที่ของนายบัน คี-มูน ที่จะต้องแสดงความเป็นผู้นำให้ปรากฏต่อสาธารณชน และแสดงตนให้สมกับเกียรติที่มี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการแทรกแซงจากต่างประเทศโดยสหประชาชาติ มันไม่ใช่แค่เรื่องกิจการภายประเทศเท่านั้น ปัญหาวุ่นวายนี้มันกระทบทั้งภูมิภาค แล้วยังกระทบอนาคตของประชาธิปไตยด้วย กระทบเรื่องสถานภาพสิทธิมนุษยชนอีกด้วย มันเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องทำเรื่องนี้

(ทอมถามสวนทางขึ้นมาทันควัน ว่า) ….

Tom : หมายถึงใคร ที่คุณว่ามีหน้าที่จะต้องทำเรื่องนี้ คุณหมายถึงพระเจ้าอยู่หัวหรือ?

Thaksin : ไม่ใช่ ผมหมายถึงนายบัน คี-มูน เป็นหน้าที่ของท่าน ท่านต้องทำ แต่ผมไม่รู้ว่าท่านจะกล้าทำไหม ท่านเป็นคนที่เหมาะสมแล้ว เพราะท่านเป็นคนที่มีหน้าที่รักษามาตรฐานระดับนานาชาติในเรื่องสิทธิมนุษยชน ตั้งคำถามในเรื่องอาชญากรรมสงคราม สนับสนุนศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ คุณก็รู้ว่าในที่สุดประเด็นต่างๆ เหล่านี้ (เรื่องความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย) จะต้องไปสู่ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นยิ่งถ่วงเวลาออกไปนานเท่าใด…

Tom : (พูดแทรกเข้ามาว่า) ก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นสำหรับประเทศไทย

Thaksin : ใช่แล้ว แต่ผมเกรงว่าท่านคงจะไม่มีความกล้าหาญมากพอ

Tom : คุณหมายถึงใคร พระเจ้าอยู่หัวหรือ?

Thaksin : ไม่ใช่! ผมหมายถึงนายบัน”


ใครก็ตามที่ไปสัมภาษณ์ทักษิณ ทักษิณจะใช้ทำประโยชน์แก่ตนได้ด้วย การสัมภาษณ์ของ Tom Plate น่าจะเป็นช่วงที่ทักษิณกำลังหาทางล้างผิดทั้งหมดให้ตนเอง และคิดจะหาทางกลับประเทศไทยแบบเท่ แบบไม่มีความผิดติดตัว หาทางนิรโทษกรรมให้ตนเอง เรื่องดังกล่าวจึงออกมาตามคำที่ให้สัมภาษณ์นั่นเอง เป็นความเห็นแก่ตัวยากที่ใครจะตามทันความคิดของทักษิณได้

คนไทยแตกแยกกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สมัย 14 ตุลาหรือ 6 ตุลาประชาชนคนไทยไม่เคยแตกแยกกัน รวมตัวกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่อสู้กับทรราช ขับไล่ทรราชถนอม-ประภาส-ณรงค์ลงจากอำนาจได้

ความแตกแยกของคนในชาติเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งของประเทศถ้านับเป็นคดีก็จะเป็นคดีที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ ร้ายแรงกว่าคดีที่ดินรัชดาฯ ร้ายแรงกว่าคดีทุกคดีของทักษิณที่ค้างอยู่ในศาล

ธรรมดาการแก้ปัญหาสิ่งใดต้องทราบถึงต้นเหตุหรือที่มาของปัญหา แล้วทำการแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ก็จะทำให้การแก้ปัญหาประสบผลสำเร็จ การแก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติก็ต้องทราบถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดความแตกแยกว่าเริ่มเกิดความแตกแยกตั้งแต่เมื่อใดเกิดแบบไหน เกิดอย่างไร แตกแยกขนาดไหน ใครเป็นคนทำให้เกิดความแตกแยก ไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาแก้ปัญหาความแตกแยกโดยไม่ทราบว่าต้นเหตุของปัญหาเป็นมาอย่างไร ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาเรื่องความแตกแยกของคนในชาติได้

สุภาษิตสอนใจแต่โบราณว่า “ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่มิด” สุภาษิตนี้คงนำมาสอนใจที่ประเทศไทยไม่ได้ ประเทศไทยไม่รู้ว่านี่คือช้างตาย แล้วก็ตายถึง 10 เชือก เขาเอาแค่ใบบัวใบเดียวมาปิดก็มิดแล้ว

ทักษิณเป็นคนเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ก่อความผิดที่ร้ายแรงต่อประเทศชาติ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นอุบายของทักษิณที่จะทำให้ตนเองพ้นผิดร้ายแรง สมมติว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านสภาฯ ออกมาประกาศใช้ก็แต่ล้างผิดให้ทักษิณได้เท่านั้น ไม่สามารถยุติความแตกแยกของคนในชาติได้แต่อย่างใด คนที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกตลอดเวลายังอยู่ แล้วสังคมจะยุติความแตกแยกได้อย่างไร และเป็นไปได้ที่จะทำให้คนในชาติแตกแยกร้าวลึกมากกว่าเดิม
กำลังโหลดความคิดเห็น