รัฐบาลใช้ที่ประชุม ศอส.แก้ข่าว “ยิ่งลักษณ์” หนีม็อบ อ้างแค่ไปเยี่ยมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปฏิเสธเงินกองทุนประกันสังคมจ่ายค่าข้าวชาวนา ขณะเดียวกัน ปัดมุ่งเอาชีวิต “สุเทพ” ด้าน “ปึ้ง” กำชับปลัดฯ มหาดไทย สั่งผู้ว่าฯ ชี้แจงชาวนาเข้าชุมนุมในพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีความผิด
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุม ศรส. วันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะ ผอ.ศรส. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ข้อกล่าวหาของแกนนำ กปปส.ที่ปราศรัยบนเวทีว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งใจจะหนีม็อบนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะที่จริงแล้วเมื่อวานนี้ นายกฯ เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม เพื่อดูความพร้อมในเรื่องพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียน และการจัดหลักสูตรต่างๆ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC เพียงแต่เป็นการเดินทางไปโดยไม่มีสื่อมวลชนติดตามเท่านั้น
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิมยังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่แกนนำ กปปส.ที่ใส่ร้ายว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาเงินจำนำข้าวของชาวนา โดยการกู้เงินจากกองทุนประกันสังคม ในความกำกับดูแลของตน เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เนื่องจากเงินกองทุนประกันสังคม มีการบริหารจัดการในลักษณะไตรภาคี ภายใต้การดูแลของ 3 ฝ่าย คือ นายจ้าง-ลูกจ้าง-กระทรวงแรงงาน ซึ่งมีหลักเกณฑ์และกรอบกติกาที่ชัดเจนในการใช้เงินดังกล่าว และมีกฎหมายเฉพาะคอยกำกับและควบคุมการดำเนินการเกี่ยวกับกองทุนอยู่ โดยที่ ร.ต.อ.เฉลิม แม้จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่สามารถเข้าไปแทรกแซง หรือบงการการดำเนินงานของกองทุนได้ตามอำเภอใจ
ในขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศรส. ได้กำชับให้นายวิบูลย์ สงวนพงษ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปชี้แจงผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ที่มีกลุ่มพี่น้องชาวนาเตรียมเดินทางมาชุมนุมยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล เพื่อให้ชาวนาทราบว่าพื้นที่ใดบ้างที่เป็นเขตหวงห้ามตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้พี่น้องชาวนาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต้องกระทำผิดกฎหมาย หรือ พ.ร.ก ฉุกเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิมได้แสดงความชื่นชมการทำหน้าที่ของรองผู้ว่าราชการ จ.พิจิตร ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องสถานที่ราชการอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถให้บริการพี่น้องประชาชนได้ และผลโพลหลายสำนักในขณะนี้สะท้อนให้เห็นว่าการกระทำของ กปปส.เรื่องปิดสถานที่ราชการนั้นมีคนที่ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก และนี่เป็นเหตุผลที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ว่ารัฐบาลต้องการเพิ่มอำนาจเพื่อทำร้าย หรือปราบปรามประชาชน เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเพื่อให้สถานที่ราชการเปิดทำการ และให้บริการพี่น้องประชาชนได้
ในขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในฐานะกรรมการ ศรส. กล่าวต่อที่ประชุมว่า จากการประเมินการเสนอข่าวของสื่อมวลชนพบว่าสังคมให้การตอบรับเป็นอย่างดีต่อมาตรการของ ศรส.ที่เตรียมจะไปเจรจากับกลุ่ม กปปส. เพื่อขอคืนสถานที่ราชการ ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เห็นด้วย และกำชับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องระมัดระวังขั้นตอนการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ประสานงานอย่างใกล้ชิดในเรื่องข้อกฎหมายกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ รูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยจะเริ่มการประชุมเพื่อจัดตารางการเจรจาในวันพรุ่งนี้ และจะเชิญผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกับทีมเจรจา
ทั้งนี้ ทีมเจรจาโดยหลักแล้วจะประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของพื้นที่ ทหาร ตำรวจ คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ หรือ กกตร. ซึ่งเป็นภาคเอกชนที่มาทำงานร่วมกับตำรวจประจำสถานีตำรวจแต่ละท้องที่ ผู้แทนกรมประชาสัมพันธ์ และสื่อมวลชน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในการดำเนินการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าจะเริ่มขอคืนสถานที่ราชการที่ไหนเป็นลำดับแรกๆ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะรีบแจ้งให้สื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนทราบทันที
ส่วนประเด็นที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ โจมตี ร.ต.อ.เฉลิม ว่ามีความต้องการจะเอาชีวิตนายสุเทพนั้นไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิมยืนยันว่าไม่ได้มีความโกรธแค้นส่วนตัวกับนายสุเทพ หากต้องดำเนินการใดๆ ต่อนายสุเทพก็เป็นไปตามหน้าที่ และเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมืองเท่านั้น และการดำเนินคดีต่างๆ จะเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการกลั่นแกล้ง และจะไม่ใช้กำลัง รวมทั้งจะไม่ใช้ความรุนแรงตามนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ส่วนกรณีที่แกนนำ กปปส.โจมตีว่ารัฐบาลส่งคนไปทำร้ายผู้ชุมนุม คปท.ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป้ายชื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตนั้น ศรส.ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เพราะตัวบุตรชายผู้เสียชีวิตก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าผู้ตายไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ คปท. และบุตรชายผู้เสียชีวิตก็เป็นผู้ยืนยันว่า สาเหตุการเสียชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ดังนั้น ขอให้หยุดนำความตายของคนอื่นมาหาประโยชน์ทางการเมือง
สำหรับประเด็นที่กล่าวหาว่ารัฐบาลใส่ร้ายนายสุเทพ และกลุ่ม กปปส.บนเวทีโลก ทำให้ต่างประเทศมองว่า กปปส.เป็นกลุ่มต่อต้านระบอบประชาธิปไตยนั้น ขอยันยันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศต่างๆ มีผู้แทนอยู่ในประเทศไทย และรายงานสถานการณ์ไปยังประเทศของตนอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีสื่อมวลชนต่างประเทศคอยรายงานข้อเท็จจริงอย่างเป็นอิสระ รัฐบาลจึงไม่สามารถใส่ร้าย หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนายสุเทพ หรือ กปปส.ได้อยู่แล้ว เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงการทำงาน หรือกำหนดทิศทางการรายงานข่าวของสื่อมวลชนได้ โดยเฉพาะสื่อต่างประเทศ ดังนั้น การที่สื่อมวลชนต่างประเทศ หรือประชาคมโลกมองว่ากลุ่ม กปปส.เป็นขบวนการต่อต้านระบอบประชาธิปไตยก็เกิดจากประเมิน และความเข้าใจของสื่อต่างประเทศเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล
ส่วนกรณีกลุ่ม กปปส.จ.ตรัง บุกปิดล้อมโรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งอยู่ในบริเวณมัสยิด อ.ปะเหลียน จ.ตรัง จนทำให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมเกิดความไม่พอใจ เนื่องจากกลุ่ม กปปส. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เคารพสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ดื่มสุรา และเต้นรำอย่างไม่เหมาะสมในบริเวณใกล้เคียงมัสยิด ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพี่น้องชาวไทยมุสลิม รวมทั้งผู้นับถือศาสนาอิสลามทั่วโลกนั้น ปรากฏว่า สถานการณ์ยังมีแนวโน้มไปในทางที่แย่ลง เนื่องจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ยังไม่ได้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ผู้นำศาสนาในพื้นที่ซึ่งเรียกร้องให้ นายสุเทพ ออกแถลงการณ์ขอโทษพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ และเป็นลายลักษณ์อักษร ผ่านทางจุฬาราชมนตรี ทั้งยังแสดงความไม่จริงใจ และไม่ได้แสดงการสำนึกผิดอย่างแท้จริง เพราะแกนนำ กปปส.บางส่วนยังไม่ยอมรับความจริง และอ้างว่าผู้ก่อเหตุดังกล่าวเป็น กปปส.ตัวปลอม ทั้งยังกล่าวทำนองว่า แถลงการณ์ของสำนักจุฬาราชมนตรี ที่ตำหนิการคุกคามมัสยิดว่าเป็นเอกสารปลอม ศรส. จึงขอเรียกร้องให้นายสุเทพเร่งพูดคุยกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ และรับฟังข้อเรียกร้องของผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งต้องห้ามปรามมวลชนของตนเองอย่างจริงจังไม่ให้ไปละเมิดสิทธิของผู้นับถือศาสนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไร เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ หรือปัญหาระหว่างประเทศ เพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องอย่าลืมว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกจับตามองโดยผู้นับถือศาสนาอิสลามในต่างประเทศด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ศรส.ขอเตือนสติพี่น้องประชาชนให้ใช้สติ และวิจารณญาณในการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ และกรุณาอย่ากระทำการใดๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือ ประกาศของ ศรส. และขอความร่วมมือให้คืนสถานที่ราชการ เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั่วไป สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถให้บริการต่างๆ ที่จำเป็นแก่พี่น้องประชาชนได้ นอกจากนี้ ในขณะนี้อาจมีมือที่สามฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย จึงขอให้ทุกท่านระมัดระวัง และแจ้งเบาะแสของบุคคลต้องสงสัยต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย