นักปราชญ์ทางการเมือง วิเคราะห์และกล่าวไว้ได้ดีมากว่า “มีมวลชนมหาศาล แต่ไม่เสนอการเมืองเชิงรุกอันเป็นการเมืองโดยธรรมของปวงชน ก็จะไม่มีมวลชนสักคนเดียว”
และอีกคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “มีกองกำลังทั้ง 4 เหล่าทัพแต่ไม่มีการเมืองโดยธรรมเป็นเป้าหมาย ทั้งตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง ก็พ่ายแพ้สงคราม กระทั่งไม่มีทหารสักคนเดียว” เช่น พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นต้น
และอีกคำกล่าวหนึ่ง “มีมวลชนมหาศาล แต่ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองเมื่อใด ก็จะถูกปราบปรามอย่างอำมหิต”
ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนมีให้เห็นขบวนการต่อสู้ ต่อต้านรัฐบาลในประเทศไทย นับแต่ 2475 เป็นต้นมา
โดยปกติภายใต้ระบอบเผด็จการ มวลมหาประชาชนย่อมเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองอยู่แล้วอย่างเป็นไปเอง เพราะผู้คนเกลียดชังระบอบเผด็จการที่ทั้งกดขี่และขูดรีด คอร์รัปชันเต็มแผ่นดิน หาความเป็นธรรมไม่ได้ ตัวแทนของระบอบเผด็จการที่ประชาชนเกลียดที่สุดคือตำรวจ จนประชาชนเรียก “ตะกวด” “สถานีตะกวด” กันไปหมดแล้ว และนักการเมือง ประชาชนเกลียดสุดๆ ก็เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการโกงกิน คอร์รัปชัน โกงกินทรัพย์สมบัติแห่งชาติมาเป็นของตระกูลและพวกพ้อง เมื่อแกนนำอธิบายอย่างไร แง่มุมไหน ก็ถูกต้องไปหมด ดังนั้นโดยปกติแล้ว มวลชนจะเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองอย่างเป็นไปเอง
ดังเช่น ปัญหา 3-4 จังหวัดภาคใต้ รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ กลไกรัฐ ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองมายาวนาน 81 ปี เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงพ่ายแพ้ทางการเมือง และพ่ายแพ้ในการใช้กำลังทางอาวุธ ดังนั้น ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนจึงต้องล้มตายเป็นใบไม้ร่วงทุกวัน
นี่คือสภาพการณ์และตัวอย่างของการพ่ายแพ้ทางการเมือง “การตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองย่อมแพ้สงคราม รบที่ไหน แพ้ที่นั่น”
ในสถานการณ์ขณะนี้ มวลชน กปปส.หากแกนนำทำให้ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการก็แย่เต็มทีแล้ว แกนนำก็จะถูกจับและถูกปราบปรามขอคืนพื้นที่ เตรียมตัวเตรียมใจตั้งรับกันไว้ให้ดี อย่าได้ประมาทเชียว
ก็รอดูกันต่อไปว่าจะเป็นจริงตามคำกล่าวข้างต้นนั้นหรือไม่ หาก กปปส. ไล่รัฐบาลอย่างเดียว ประชาชนจะไม่ได้อะไรเลยระบอบเผด็จการยังอยู่คงเดิม
หากรู้ว่าแท้จริงประเทศไทยเป็นระบอบเผด็จการ
เป็นระบอบเผด็จการอย่างไร?
ตอบได้ว่า ระบอบเผด็จการ คือระบอบการเมืองที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน หรือไม่มีหลักเอกภาพของปวงชน หรือไม่มีหลักนิติธรรม หรือไม่มีกฎหมายความมั่นคงสูงสุดของปวงชน หรือไม่มีหลักสัญญาประชาคม (Social Contracts) แห่งชาติ ซ้อนกันอยู่ในหลายๆ มิติ ในหลายๆ ลักษณะดังกล่าวข้างต้น ระบอบคืออะไร ระบอบคือ เอกภาพของส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด หรือเอกภาพของความแตกต่างหลากหลาย เช่น นิวเคลียสย่อมเป็นเอกภาพของโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน
ดวงอาทิตย์ ย่อมเป็นเอกภาพของดาวเคราะห์และดวงจันทร์ทั้งหลายและส่วนอื่นๆ
ชาติหรืออำนาจอธิปไตยของปวงชนย่อมเป็นเอกภาพและเป้าหมายของปวงชนในชาติอันแตกต่างหลากหลาย
ศาสนา ย่อมเป็นเอกภาพของศาสนิกชน อันแตกต่างหลากหลาย
พระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นเอกภาพของพสกนิกร อันแตกต่างหลากหลาย
เสรีภาพบริบูรณ์ ย่อมเป็นเอกภาพหรือเป้าหมายของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
ความเสมอภาคทางโอกาส ย่อมเป็นเอกภาพหรือเป้าหมายของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
ความภราดรภาพ ย่อมเป็นเอกภาพหรือเป้าหมายของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
ดุลยภาพ ย่อมเป็นเอกภาพ ความมั่นคง ความสุขของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
หลักการสำคัญทั้ง 8 เหล่านี้ ล้วนเป็นหลักการและเป้าหมายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์สังคมที่จะต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรัก เอื้ออาทร และมีความเป็นธรรม จึงได้ประมวลเป็นหลักนิติธรรมของปวงชน อันเป็นหลักการสำคัญข้อที่ 9
จึงเรียกว่าหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นบ่อเกิดคุณธรรมทั้งปวง ย่อมก่อให้เกิดสันติสุขแก่ผู้ที่รับรอง ยอมรับ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในการอยู่ร่วมกันในสังคมทุกระดับและที่สำคัญที่สุดคือใช้ร่วมกันในทางการเมือง
นี่คือ การเมืองของฝ่ายประชาชนปฏิวัติ ทั้งทางความคิดและทางการเมือง เปลี่ยนการเมืองอัปรีย์จัญไรของนักการเมืองให้เป็นการเมืองโดยธรรมของปวงชน
ดังนั้น ชัยชนะของมวลมหาประชาชนจึงอยู่ตรงนี้ อันเป็นหลักแห่งความถูกต้องทั้งปวง อันเป็นเอกภาพ อันเป็นจุดหมายของปวงชนอย่างแท้จริง ส่วนการปกครอง การปฏิรูปการปกครอง เป็นเรื่องรอง และเป็นเรื่องที่เกิดจากหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เท่านั้นจึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งกระบวนการ
ภายใต้ระบอบเผด็จการ การนำ และการรุกทางการเมืองจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องการชนะทางการเมือง เมื่อชนะทางการเมืองการดำเนินการใดๆ ก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น เช่นการใช้อำนาจของประชาชนเพื่อให้เกิดสันติสุข
การเคลื่อนไหวของ กปปส.เป็นการรุกทางเมืองโดยปกติอย่างเป็นไปเอง เพราะทุกๆ การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการย่อมเป็นการรุกทางการเมืองอย่างเป็นไปเองอยู่แล้ว
ดูประหนึ่งว่า กปปส.หรือทุกๆ การเคลื่อนไหวจะมีชัยชนะต่อรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ แต่ต้องไม่ลืมว่า ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนั้น เขามีประชาชนส่วนหนึ่งหนุนหลัง อย่างรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเขาอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการ เมื่อมาเป็นรัฐบาลเขาจึงอ้างความชอบธรรม
ดังนั้น ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นระบอบเผด็จการที่โค่นยากที่สุด ล้มยากที่สุด และเป็นระบอบเผด็จการที่แยบยลที่สุด และหลอกได้สนิทว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย จนทำให้ผู้คนหลงผิดตามๆ กันไปเยอะแยะมากมาย และทำให้รู้ว่า ทั้งนักการเมือง ทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชนต่างๆ ทีวี เป็นต้นไม่รู้จักว่าระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร เห็นแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญแล้วก็เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นความเห็นที่เห็นผิดร้ายแรงต่อชาติยิ่งนักเห็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ ก็ไปตั้งชื่อ ไปเรียกว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งไม่คิด ตริตรองเอาเสียเลย
ดังนั้น หาก กปปส.จะชนะทางการเมือง กปปส.จะต้องเสนอ ผลักดันหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ทุกครั้งที่จับไมค์ และการอธิบายขยายความเพื่อทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน
เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 แล้ว ก็จะเป็นการรุกทางการเมืองอย่างขนานใหญ่เพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่าสิ่งที่จะต้องทำขั้นแรก ขั้นต้น นั่นคือหลักการ กฎกติกา จะต้องมีความเป็นธรรมต่อพี่น้องปวงชนไทย และนี่คือการเมืองโดยธรรมของปวงชนอย่างแท้จริง
การเมืองภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เมื่อประกาศออกไปแล้วย่อมเหนือกว่าการเมืองใดๆ ของทุกพรรคการเมือง ย่อมเหนือกว่าการเมืองของพรรค ย่อมเหนือกว่าการเมืองของบุคคลที่ไม่แน่ไม่นอน
เมื่อประกาศออกไปเป็นสัญญาประชาคมแล้ว ปัญญาชนคนดีทั้งหลายก็จะรับรอง ชื่นชม ยินดีปรีดา ฝ่ายที่รอท่าทีก็จะเข้าร่วมด้วย ฝ่ายที่ต่อต้านก็จะหยุด ฝ่ายที่เห็นด้วยแล้วก็จะฮึกเหิม ฝ่ายกองทัพก็จะยอมรับการนำทางการเมือง ทุกฝ่ายต่างก็เปรียบเทียบและเลือกการเมืองโดยธรรม การเมืองที่สว่าง การเมืองที่ชัดเจน การเมืองที่เป็นการเมืองของทุกคน
หาก กปปส.ทำตรงนี้สำเร็จ จึงเรียกได้ว่าชนะทางการเมือง โดยมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางของฝ่ายมวลมหาประชาชน จึงเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า เป็นเอกภาพกว่า นั่นก็คือชัยชนะ นั่นเอง
และถือได้ว่าเป็นไล่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเหตุแห่งความอัปรีย์จัญไรที่แท้จริงของชาติและประชาชน ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เช่น
โค่นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญลงได้สำเร็จ
รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้
โค่นระบอบทักษิณและเผด็จการรัฐสภาอันเป็นผล เป็นเงา เป็นปรากฏการณ์ของระบอบเผด็จการทั้งหลายทั้งปวงก็จะหมดไป
ทั้งนี้ ท่านกำนันสุเทพและแกนนำหากเห็นผิดว่า ปัจจุบันเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว จึงเดินหน้าปฏิรูป 5 ด้านหลักๆ หากมีความเห็นเดิมๆ เช่นนี้ ก็น่าเศร้าเต็มที ไม่มีหนทางเลย ไม่มีโอกาสเลยที่มวลมหาประชาชนจะได้ชัยชนะ เสียแรงเปล่า ก็เฝ้าดูกันต่อไป
แต่คณะของเรา “สถาบันธรรมาธิปไตยแห่งชาติ” ยินดีให้คำปรึกษา และให้การสนับสนุนเสมอไป
การรุกทางการเมืองสู่ชัยชนะ คือการเสนอแนวทางการเมืองที่เหนือกว่า คือการเสนอ เชิดชู หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสนอแล้วชนะทันที ทุกฝ่ายจะยอมรับ คนดี ปัญญาชน จะยอมรับ พวกเฉยๆ จะเข้าร่วม พวกค้านจะหยุดค้าน ข้าราชการทุกกระทรวง ทหารทุกเหล่าทัพจะยอมร่วมมือด้วย อย่างนี้เรียกว่าชนะทางการเมือง และจะชนะในทุกเรื่อง ใครอ่านแล้ว เมตตา เมตตา เมตตา บอกท่านกำนันสุเทพ ด้วยเถิด
และอีกคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “มีกองกำลังทั้ง 4 เหล่าทัพแต่ไม่มีการเมืองโดยธรรมเป็นเป้าหมาย ทั้งตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง ก็พ่ายแพ้สงคราม กระทั่งไม่มีทหารสักคนเดียว” เช่น พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นต้น
และอีกคำกล่าวหนึ่ง “มีมวลชนมหาศาล แต่ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองเมื่อใด ก็จะถูกปราบปรามอย่างอำมหิต”
ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนมีให้เห็นขบวนการต่อสู้ ต่อต้านรัฐบาลในประเทศไทย นับแต่ 2475 เป็นต้นมา
โดยปกติภายใต้ระบอบเผด็จการ มวลมหาประชาชนย่อมเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองอยู่แล้วอย่างเป็นไปเอง เพราะผู้คนเกลียดชังระบอบเผด็จการที่ทั้งกดขี่และขูดรีด คอร์รัปชันเต็มแผ่นดิน หาความเป็นธรรมไม่ได้ ตัวแทนของระบอบเผด็จการที่ประชาชนเกลียดที่สุดคือตำรวจ จนประชาชนเรียก “ตะกวด” “สถานีตะกวด” กันไปหมดแล้ว และนักการเมือง ประชาชนเกลียดสุดๆ ก็เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการโกงกิน คอร์รัปชัน โกงกินทรัพย์สมบัติแห่งชาติมาเป็นของตระกูลและพวกพ้อง เมื่อแกนนำอธิบายอย่างไร แง่มุมไหน ก็ถูกต้องไปหมด ดังนั้นโดยปกติแล้ว มวลชนจะเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองอย่างเป็นไปเอง
ดังเช่น ปัญหา 3-4 จังหวัดภาคใต้ รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ กลไกรัฐ ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองมายาวนาน 81 ปี เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงพ่ายแพ้ทางการเมือง และพ่ายแพ้ในการใช้กำลังทางอาวุธ ดังนั้น ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนจึงต้องล้มตายเป็นใบไม้ร่วงทุกวัน
นี่คือสภาพการณ์และตัวอย่างของการพ่ายแพ้ทางการเมือง “การตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองย่อมแพ้สงคราม รบที่ไหน แพ้ที่นั่น”
ในสถานการณ์ขณะนี้ มวลชน กปปส.หากแกนนำทำให้ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการก็แย่เต็มทีแล้ว แกนนำก็จะถูกจับและถูกปราบปรามขอคืนพื้นที่ เตรียมตัวเตรียมใจตั้งรับกันไว้ให้ดี อย่าได้ประมาทเชียว
ก็รอดูกันต่อไปว่าจะเป็นจริงตามคำกล่าวข้างต้นนั้นหรือไม่ หาก กปปส. ไล่รัฐบาลอย่างเดียว ประชาชนจะไม่ได้อะไรเลยระบอบเผด็จการยังอยู่คงเดิม
หากรู้ว่าแท้จริงประเทศไทยเป็นระบอบเผด็จการ
เป็นระบอบเผด็จการอย่างไร?
ตอบได้ว่า ระบอบเผด็จการ คือระบอบการเมืองที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน หรือไม่มีหลักเอกภาพของปวงชน หรือไม่มีหลักนิติธรรม หรือไม่มีกฎหมายความมั่นคงสูงสุดของปวงชน หรือไม่มีหลักสัญญาประชาคม (Social Contracts) แห่งชาติ ซ้อนกันอยู่ในหลายๆ มิติ ในหลายๆ ลักษณะดังกล่าวข้างต้น ระบอบคืออะไร ระบอบคือ เอกภาพของส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด หรือเอกภาพของความแตกต่างหลากหลาย เช่น นิวเคลียสย่อมเป็นเอกภาพของโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน
ดวงอาทิตย์ ย่อมเป็นเอกภาพของดาวเคราะห์และดวงจันทร์ทั้งหลายและส่วนอื่นๆ
ชาติหรืออำนาจอธิปไตยของปวงชนย่อมเป็นเอกภาพและเป้าหมายของปวงชนในชาติอันแตกต่างหลากหลาย
ศาสนา ย่อมเป็นเอกภาพของศาสนิกชน อันแตกต่างหลากหลาย
พระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นเอกภาพของพสกนิกร อันแตกต่างหลากหลาย
เสรีภาพบริบูรณ์ ย่อมเป็นเอกภาพหรือเป้าหมายของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
ความเสมอภาคทางโอกาส ย่อมเป็นเอกภาพหรือเป้าหมายของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
ความภราดรภาพ ย่อมเป็นเอกภาพหรือเป้าหมายของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
ดุลยภาพ ย่อมเป็นเอกภาพ ความมั่นคง ความสุขของมนุษย์อันแตกต่างหลากหลาย
หลักการสำคัญทั้ง 8 เหล่านี้ ล้วนเป็นหลักการและเป้าหมายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์สังคมที่จะต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรัก เอื้ออาทร และมีความเป็นธรรม จึงได้ประมวลเป็นหลักนิติธรรมของปวงชน อันเป็นหลักการสำคัญข้อที่ 9
จึงเรียกว่าหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นบ่อเกิดคุณธรรมทั้งปวง ย่อมก่อให้เกิดสันติสุขแก่ผู้ที่รับรอง ยอมรับ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในการอยู่ร่วมกันในสังคมทุกระดับและที่สำคัญที่สุดคือใช้ร่วมกันในทางการเมือง
นี่คือ การเมืองของฝ่ายประชาชนปฏิวัติ ทั้งทางความคิดและทางการเมือง เปลี่ยนการเมืองอัปรีย์จัญไรของนักการเมืองให้เป็นการเมืองโดยธรรมของปวงชน
ดังนั้น ชัยชนะของมวลมหาประชาชนจึงอยู่ตรงนี้ อันเป็นหลักแห่งความถูกต้องทั้งปวง อันเป็นเอกภาพ อันเป็นจุดหมายของปวงชนอย่างแท้จริง ส่วนการปกครอง การปฏิรูปการปกครอง เป็นเรื่องรอง และเป็นเรื่องที่เกิดจากหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เท่านั้นจึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งกระบวนการ
ภายใต้ระบอบเผด็จการ การนำ และการรุกทางการเมืองจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องการชนะทางการเมือง เมื่อชนะทางการเมืองการดำเนินการใดๆ ก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น เช่นการใช้อำนาจของประชาชนเพื่อให้เกิดสันติสุข
การเคลื่อนไหวของ กปปส.เป็นการรุกทางเมืองโดยปกติอย่างเป็นไปเอง เพราะทุกๆ การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการย่อมเป็นการรุกทางการเมืองอย่างเป็นไปเองอยู่แล้ว
ดูประหนึ่งว่า กปปส.หรือทุกๆ การเคลื่อนไหวจะมีชัยชนะต่อรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ แต่ต้องไม่ลืมว่า ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนั้น เขามีประชาชนส่วนหนึ่งหนุนหลัง อย่างรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเขาอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการ เมื่อมาเป็นรัฐบาลเขาจึงอ้างความชอบธรรม
ดังนั้น ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นระบอบเผด็จการที่โค่นยากที่สุด ล้มยากที่สุด และเป็นระบอบเผด็จการที่แยบยลที่สุด และหลอกได้สนิทว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย จนทำให้ผู้คนหลงผิดตามๆ กันไปเยอะแยะมากมาย และทำให้รู้ว่า ทั้งนักการเมือง ทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชนต่างๆ ทีวี เป็นต้นไม่รู้จักว่าระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร เห็นแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญแล้วก็เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นความเห็นที่เห็นผิดร้ายแรงต่อชาติยิ่งนักเห็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ ก็ไปตั้งชื่อ ไปเรียกว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งไม่คิด ตริตรองเอาเสียเลย
ดังนั้น หาก กปปส.จะชนะทางการเมือง กปปส.จะต้องเสนอ ผลักดันหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ทุกครั้งที่จับไมค์ และการอธิบายขยายความเพื่อทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน
เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 แล้ว ก็จะเป็นการรุกทางการเมืองอย่างขนานใหญ่เพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่าสิ่งที่จะต้องทำขั้นแรก ขั้นต้น นั่นคือหลักการ กฎกติกา จะต้องมีความเป็นธรรมต่อพี่น้องปวงชนไทย และนี่คือการเมืองโดยธรรมของปวงชนอย่างแท้จริง
การเมืองภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เมื่อประกาศออกไปแล้วย่อมเหนือกว่าการเมืองใดๆ ของทุกพรรคการเมือง ย่อมเหนือกว่าการเมืองของพรรค ย่อมเหนือกว่าการเมืองของบุคคลที่ไม่แน่ไม่นอน
เมื่อประกาศออกไปเป็นสัญญาประชาคมแล้ว ปัญญาชนคนดีทั้งหลายก็จะรับรอง ชื่นชม ยินดีปรีดา ฝ่ายที่รอท่าทีก็จะเข้าร่วมด้วย ฝ่ายที่ต่อต้านก็จะหยุด ฝ่ายที่เห็นด้วยแล้วก็จะฮึกเหิม ฝ่ายกองทัพก็จะยอมรับการนำทางการเมือง ทุกฝ่ายต่างก็เปรียบเทียบและเลือกการเมืองโดยธรรม การเมืองที่สว่าง การเมืองที่ชัดเจน การเมืองที่เป็นการเมืองของทุกคน
หาก กปปส.ทำตรงนี้สำเร็จ จึงเรียกได้ว่าชนะทางการเมือง โดยมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางของฝ่ายมวลมหาประชาชน จึงเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า เป็นเอกภาพกว่า นั่นก็คือชัยชนะ นั่นเอง
และถือได้ว่าเป็นไล่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเหตุแห่งความอัปรีย์จัญไรที่แท้จริงของชาติและประชาชน ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เช่น
โค่นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญลงได้สำเร็จ
รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้
โค่นระบอบทักษิณและเผด็จการรัฐสภาอันเป็นผล เป็นเงา เป็นปรากฏการณ์ของระบอบเผด็จการทั้งหลายทั้งปวงก็จะหมดไป
ทั้งนี้ ท่านกำนันสุเทพและแกนนำหากเห็นผิดว่า ปัจจุบันเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว จึงเดินหน้าปฏิรูป 5 ด้านหลักๆ หากมีความเห็นเดิมๆ เช่นนี้ ก็น่าเศร้าเต็มที ไม่มีหนทางเลย ไม่มีโอกาสเลยที่มวลมหาประชาชนจะได้ชัยชนะ เสียแรงเปล่า ก็เฝ้าดูกันต่อไป
แต่คณะของเรา “สถาบันธรรมาธิปไตยแห่งชาติ” ยินดีให้คำปรึกษา และให้การสนับสนุนเสมอไป
การรุกทางการเมืองสู่ชัยชนะ คือการเสนอแนวทางการเมืองที่เหนือกว่า คือการเสนอ เชิดชู หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสนอแล้วชนะทันที ทุกฝ่ายจะยอมรับ คนดี ปัญญาชน จะยอมรับ พวกเฉยๆ จะเข้าร่วม พวกค้านจะหยุดค้าน ข้าราชการทุกกระทรวง ทหารทุกเหล่าทัพจะยอมร่วมมือด้วย อย่างนี้เรียกว่าชนะทางการเมือง และจะชนะในทุกเรื่อง ใครอ่านแล้ว เมตตา เมตตา เมตตา บอกท่านกำนันสุเทพ ด้วยเถิด