ASTVผู้จัดการรายวัน – ยักษ์ฟาสต์ฟู้ด 5 แบรนด์หลัก “เคเอฟซี-พิซซ่าฮัท-แมคโดนัลด์-เชสเตอร์-เบอร์เกอร์คิง” เดินหน้าฟาดฟันปี 2557 เต็มแรง โดยเฉพาะกลยุทธ์การปูพรมขยายสาขาเต็มพื้นที่ รวมมูลค่ากว่า 3,200 ล้านบาทแล้ว ไม่หวั่นปัญหาการเมืองไทยที่ขัดแย้งมีม็อบ เชื่อมั่นระยะยาวไทยยังแข็งแกร่ง
ตลาดฟาสต์ฟู้ดปี 2557 ยังคงเป็นอีกปีที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงจากผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ทั้งในแง่ของการขยายสาขา การทำตลาด และการสร้างแบรนด์ เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ การดึงลูกค้าเข้ามาให้มากที่สุดเพื่อสร้างยอดขายและการเติบโตของธุรกิจ ท่ามกลาภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องขึ้น กำลังซื้อลดลง และปัญหาทางการเมืองที่ยังรุมเร้าและลากยาวมานาน แต่ในฐานะผู้ประกอบการร้านอาหารที่เป็นเชนรายใหญ่ๆ
สำหรับตลาดฟาสต์ฟู้ดในไทย เซ็กเม้นต์ที่ใหญ่ๆและมีความเคลื่อนไหวมากและแข่งรุนแรงก็มีกลุ่มไก่ทอด เบอร์เกอร์ และพิซซ่า จากมูลค่าการตลาดรวมเชนร้านอาหารในไทย ที่มีมูลค่ามากกว่า 90,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 11-12% ต่อปี ซึ่งคนในวงการคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีการเติบโตที่ดีถึง 13% โดยที่กลุ่มฟาสต์ฟู้ดใหญ่อย่าง ไก่ทอด มีมูลค่า 14 ,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 13% จากปีที่แล้วที่เติบโต 10% กลุ่มเบอร์เกอร์มูลค่าตลาดรวม 6,000 ล้านบาท ปีนี้คาดเติบโต 13% จากปีที่แล้วเติบโต 9% และตลาดพิซซ่ามูลค่า 8,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% จากปีที่แล้วเติบโต 14%
นายสุวัฒน์ ทรงพัฒนโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ในเครือซีพี ผู้บริหารร้านเชสเตอร์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดฟาสต์ฟู้ดในปี 2557 นี้จะเป็นอีกปีหนึ่งที่การแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆทั้งเรืองการเมืองที่มีความขัดแย้งกันและมีการชุมนุมทางการเมืองหลายเดือนแล้ว เศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีกำลังซื้อลดลง อารมณ์การจับจ่ายของผู้บริโภคน้อยลงเพราะไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจ แต่หากมองถึงพื้นฐานของไทยแล้วถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก จึงไม่น่าเป็นตัวฉุดการลงทุนระยะยาวของธุรกิจฟาสต์ฟู้ดแน่นอน
ขณะที่ในแง่ของธุรกิจเองนั้น ร้านฟาสต์ฟู้ดยังต้องเผชิญกับปัญหาของการมีคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น เพราะธุรกิจร้านอาหารที่เป็นเชนเข้ามาเมืองไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหารญี่ปุ่นทั้งยังเป็นอาหารยอดฮิตของคนไทยในเวลานี้ด้วย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการเข้ามาใช้บริการร้านอาหารมากขึ้น ดังนั้นลูกค้าจึงต้องถูกเกลี่ยหรือแบ่งไปร้านอื่นนั่นเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แนวทางการแข่งขันก็ยังคงมุ่งไปที่เรื่องของการขยายสาขาให้มากขึ้นเพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด และการพัฒนาเมนูใหม่ๆออกมาตอบสนองความต้องการผู้บริโภค รวมไปถึงการทำโปรโมชั่นกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆเพื่อดึงดูดลูกค้าให้ตัดสินใจมาที่ร้านให้มากขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่ากลยุทธ์การเร่งขยายสาขานั้นจะดุเดือดมากขึ้น
โดยในส่วนของเชสเตอร์นั้น นายสุวัฒน์กล่าวว่า ปีนี้ตั้งงบลงทุนรวม 300 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 20 สาขา รวมกับงบการปรับปรุงสาขาเดิมรวม 200-220 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านบาท เป็นงบการตลาดทั้งปี ทั้งนี้เชสเตอร์ปัจจุบันมีสาขาเปิดบริการรวมประมาณ 190 แห่งแบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 120-130 แห่ง ส่วนปีที่แล้วเปิดสาขาใหม่ประมาณ 18 แห่ง ทั้งนี้ทำเลน้นในศูนย์การค้าและผู้ประกอบการค้าปลีกทั่วไป
นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ คิง(ประเทศไทย) จำกัด ในเครือไมเนอร์กรุ๊ป ผู้รับไลเซ่นส์และบริหารร้านเบอร์เกอร์คิงในไทย เปิดเผยว่า ปีนี้เบอร์เกอร์คิงจะขยายสาขามากกว่าเดิม โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10 สาขา ด้วยงบประมาณลงทุนรวมด้านสาขาอย่างเดียวอยู่ที่ 130 ล้านบาท ส่วนงบการตลาดอีก 60 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบลงทุนและเปิดสาขาใหม่มากกว่าปีที่แล้วที่เปิดสาขาใหม่ประมาณ 6 สาขาเท่านั้นเองคือที่ สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่,พัทยา, ภูเก็ตและกรุงเทพ คือ เมอร์คิวรี่ชิดลมกับมอเตอร์เวย์
นางสาวแวคนีย์ อัสโสรัตน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านเคเอฟซีและพิซซ่าฮัท ในประเทศไทย เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในปี 2557 ว่า บริษัทฯยังคงวางแผนการลงทุนทั้งสองแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นในภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว แม้ว่าช่วงนี้ยังมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าทุกอย่างคงมีทางออกและไทยก็ยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพมากเมื่อเที่ยบกับประเทศอื่นในอาเซียนด้วยกัน
ทั้งนี้แบรนด์เคเอฟซียังคงเป็นแบรนด์หลักที่ทั้งยัมฯและทางกลุ่มเซ็นทรัลที่รับสิทธิ์ขยายสาขาคู่กับยัมจะลงทุนคู่กัน ซึ่งในปีนี้ วางงบลงทุนรวมเคเอฟซีไว้ประมาณ 2,200 ล้านบาท แบ่งเป็น งบการลงทุนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 50 สาขา และรีโนเวตสาขาเดิมอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ส่วนงบที่เหลืออีก 600 ล้านบาท เป็นงบการตลาด ซึ่งปัจจุบันเคเอฟซีมีสาขาในไทยประมาณ 500 สาขาแล้วทั่วประเทศ ซึ่งยังมีโอกาสเปิดได้อีกทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด อย่างไรก็ตามเป้าหมายระยาวภายในปี 2563 จะต้องขยายสาขาของเอเอฟซีให้ได้ครบ 750 สาขา
ที่สำคัญปีนี้เคเอฟซีจะโหมการขยายสาขาแบบไดรฟ์ทรูสแตนด์อโลนมากขึ้นรวม 10 สาขาด้วย ซึ่งที่ผ่านมารูปแบบไดร์ฟทรูก็มีบ้างแล้วแต่ยังไม่ใช่สแตนด์อโลนโดยตรง แต่ปีนี้จะเน้นรูปแบบนี้ โดยเพิ่งเปิดสาขาแรกแบบสแตนด์อโลนเป็นการทดลองที่ถนนศรีนครินทร์เมื่อปลายปีที่แล้วซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดี แต่สาขาแบบไดร์ฟทรูสแตนด์อโลนนี้ต้องลงทุนสูงและหาที่ค่อนข้างยาก ซึ่งสาขแรกนี้ก็ลงทุนไปแล้ว 40 ล้านบาท เป็นการเช่าที่ดิน
ขณะที่แบรนด์พิซซ่าฮัทนั้น ยัมฯซึ่งเป็นเจ้าของและลงทุนเองทั้งหมดในไทยก็เดินหน้าด้วยเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ประมาณ 30 สาขา ส่วนปีที่แล้วเปิดพิซซ่าฮัทไปได้ 10 สาขา จากปัจจุบันมีร้านพิซซ่าฮัท 78 สาขา ซึ่งเป็นการลงทุนของยัมฯทั้งหมด
ด้านแมคโนลด์ก็ไม่หวั่นเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองไทยยามนี้เช่นกันโดย นางเพชรรัตน์ อุทัยสาง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้บริหารร้าน “แมคโดนัลด์” กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 500 ล้านบาทเพื่อต้องการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 25 สาขา ทั้งพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งอาจจะเปิดได้มากกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ก็ได้หากได้พื้นที่ที่มีทำเลดีเหมาะสมกับการลงทุน
ขณะที่ปีที่แล้วแมคโดนัลด์เปิดสาขาใหม่ได้ 15 สาขา เพราะมีปัจจัยลบมากทั้งการหาทำเลดีนั้นยากหรือพื้นที่ไม่มีขนาดที่ต้องการ รวมทั้งปัญหาการเมืองด้วยในช่วงแรกทำให้สะดุดไปบ้าง ปัจจุบันแมคโดนัลด์มีสาขารวมทั้งสิ้น 191 สาขา แบ่งเป็นสาขาไดร์ฟทรู (การสั่งซื้ออาหารโดยไม่ต้องลงจากรถ) 48 สาขา และสาขาบริการ 24 ชั่วโมง 85 สาขา และที่เหลืออื่นๆเช่น ดีลิเวอรี่ ร้านเคาน์เตอร์ (บางสาขาก็มีบริการหลายรูปแบบ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากทั้ง 5 แบรนด์ใหญ่นี้รวมเงินลงทุนในปี 2557 นี้ก็มีมากกว่า 3,190 - 3,200 ล้านบาทแล้วในการขยายสาขาครอบคลุมในปีนี้
ตลาดฟาสต์ฟู้ดปี 2557 ยังคงเป็นอีกปีที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงจากผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ทั้งในแง่ของการขยายสาขา การทำตลาด และการสร้างแบรนด์ เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ การดึงลูกค้าเข้ามาให้มากที่สุดเพื่อสร้างยอดขายและการเติบโตของธุรกิจ ท่ามกลาภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องขึ้น กำลังซื้อลดลง และปัญหาทางการเมืองที่ยังรุมเร้าและลากยาวมานาน แต่ในฐานะผู้ประกอบการร้านอาหารที่เป็นเชนรายใหญ่ๆ
สำหรับตลาดฟาสต์ฟู้ดในไทย เซ็กเม้นต์ที่ใหญ่ๆและมีความเคลื่อนไหวมากและแข่งรุนแรงก็มีกลุ่มไก่ทอด เบอร์เกอร์ และพิซซ่า จากมูลค่าการตลาดรวมเชนร้านอาหารในไทย ที่มีมูลค่ามากกว่า 90,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 11-12% ต่อปี ซึ่งคนในวงการคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีการเติบโตที่ดีถึง 13% โดยที่กลุ่มฟาสต์ฟู้ดใหญ่อย่าง ไก่ทอด มีมูลค่า 14 ,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 13% จากปีที่แล้วที่เติบโต 10% กลุ่มเบอร์เกอร์มูลค่าตลาดรวม 6,000 ล้านบาท ปีนี้คาดเติบโต 13% จากปีที่แล้วเติบโต 9% และตลาดพิซซ่ามูลค่า 8,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% จากปีที่แล้วเติบโต 14%
นายสุวัฒน์ ทรงพัฒนโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ในเครือซีพี ผู้บริหารร้านเชสเตอร์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดฟาสต์ฟู้ดในปี 2557 นี้จะเป็นอีกปีหนึ่งที่การแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆทั้งเรืองการเมืองที่มีความขัดแย้งกันและมีการชุมนุมทางการเมืองหลายเดือนแล้ว เศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีกำลังซื้อลดลง อารมณ์การจับจ่ายของผู้บริโภคน้อยลงเพราะไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจ แต่หากมองถึงพื้นฐานของไทยแล้วถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก จึงไม่น่าเป็นตัวฉุดการลงทุนระยะยาวของธุรกิจฟาสต์ฟู้ดแน่นอน
ขณะที่ในแง่ของธุรกิจเองนั้น ร้านฟาสต์ฟู้ดยังต้องเผชิญกับปัญหาของการมีคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น เพราะธุรกิจร้านอาหารที่เป็นเชนเข้ามาเมืองไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหารญี่ปุ่นทั้งยังเป็นอาหารยอดฮิตของคนไทยในเวลานี้ด้วย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการเข้ามาใช้บริการร้านอาหารมากขึ้น ดังนั้นลูกค้าจึงต้องถูกเกลี่ยหรือแบ่งไปร้านอื่นนั่นเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แนวทางการแข่งขันก็ยังคงมุ่งไปที่เรื่องของการขยายสาขาให้มากขึ้นเพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด และการพัฒนาเมนูใหม่ๆออกมาตอบสนองความต้องการผู้บริโภค รวมไปถึงการทำโปรโมชั่นกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆเพื่อดึงดูดลูกค้าให้ตัดสินใจมาที่ร้านให้มากขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่ากลยุทธ์การเร่งขยายสาขานั้นจะดุเดือดมากขึ้น
โดยในส่วนของเชสเตอร์นั้น นายสุวัฒน์กล่าวว่า ปีนี้ตั้งงบลงทุนรวม 300 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 20 สาขา รวมกับงบการปรับปรุงสาขาเดิมรวม 200-220 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านบาท เป็นงบการตลาดทั้งปี ทั้งนี้เชสเตอร์ปัจจุบันมีสาขาเปิดบริการรวมประมาณ 190 แห่งแบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 120-130 แห่ง ส่วนปีที่แล้วเปิดสาขาใหม่ประมาณ 18 แห่ง ทั้งนี้ทำเลน้นในศูนย์การค้าและผู้ประกอบการค้าปลีกทั่วไป
นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ คิง(ประเทศไทย) จำกัด ในเครือไมเนอร์กรุ๊ป ผู้รับไลเซ่นส์และบริหารร้านเบอร์เกอร์คิงในไทย เปิดเผยว่า ปีนี้เบอร์เกอร์คิงจะขยายสาขามากกว่าเดิม โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10 สาขา ด้วยงบประมาณลงทุนรวมด้านสาขาอย่างเดียวอยู่ที่ 130 ล้านบาท ส่วนงบการตลาดอีก 60 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบลงทุนและเปิดสาขาใหม่มากกว่าปีที่แล้วที่เปิดสาขาใหม่ประมาณ 6 สาขาเท่านั้นเองคือที่ สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่,พัทยา, ภูเก็ตและกรุงเทพ คือ เมอร์คิวรี่ชิดลมกับมอเตอร์เวย์
นางสาวแวคนีย์ อัสโสรัตน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านเคเอฟซีและพิซซ่าฮัท ในประเทศไทย เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในปี 2557 ว่า บริษัทฯยังคงวางแผนการลงทุนทั้งสองแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นในภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว แม้ว่าช่วงนี้ยังมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าทุกอย่างคงมีทางออกและไทยก็ยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพมากเมื่อเที่ยบกับประเทศอื่นในอาเซียนด้วยกัน
ทั้งนี้แบรนด์เคเอฟซียังคงเป็นแบรนด์หลักที่ทั้งยัมฯและทางกลุ่มเซ็นทรัลที่รับสิทธิ์ขยายสาขาคู่กับยัมจะลงทุนคู่กัน ซึ่งในปีนี้ วางงบลงทุนรวมเคเอฟซีไว้ประมาณ 2,200 ล้านบาท แบ่งเป็น งบการลงทุนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 50 สาขา และรีโนเวตสาขาเดิมอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ส่วนงบที่เหลืออีก 600 ล้านบาท เป็นงบการตลาด ซึ่งปัจจุบันเคเอฟซีมีสาขาในไทยประมาณ 500 สาขาแล้วทั่วประเทศ ซึ่งยังมีโอกาสเปิดได้อีกทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด อย่างไรก็ตามเป้าหมายระยาวภายในปี 2563 จะต้องขยายสาขาของเอเอฟซีให้ได้ครบ 750 สาขา
ที่สำคัญปีนี้เคเอฟซีจะโหมการขยายสาขาแบบไดรฟ์ทรูสแตนด์อโลนมากขึ้นรวม 10 สาขาด้วย ซึ่งที่ผ่านมารูปแบบไดร์ฟทรูก็มีบ้างแล้วแต่ยังไม่ใช่สแตนด์อโลนโดยตรง แต่ปีนี้จะเน้นรูปแบบนี้ โดยเพิ่งเปิดสาขาแรกแบบสแตนด์อโลนเป็นการทดลองที่ถนนศรีนครินทร์เมื่อปลายปีที่แล้วซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดี แต่สาขาแบบไดร์ฟทรูสแตนด์อโลนนี้ต้องลงทุนสูงและหาที่ค่อนข้างยาก ซึ่งสาขแรกนี้ก็ลงทุนไปแล้ว 40 ล้านบาท เป็นการเช่าที่ดิน
ขณะที่แบรนด์พิซซ่าฮัทนั้น ยัมฯซึ่งเป็นเจ้าของและลงทุนเองทั้งหมดในไทยก็เดินหน้าด้วยเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ประมาณ 30 สาขา ส่วนปีที่แล้วเปิดพิซซ่าฮัทไปได้ 10 สาขา จากปัจจุบันมีร้านพิซซ่าฮัท 78 สาขา ซึ่งเป็นการลงทุนของยัมฯทั้งหมด
ด้านแมคโนลด์ก็ไม่หวั่นเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองไทยยามนี้เช่นกันโดย นางเพชรรัตน์ อุทัยสาง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้บริหารร้าน “แมคโดนัลด์” กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 500 ล้านบาทเพื่อต้องการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 25 สาขา ทั้งพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งอาจจะเปิดได้มากกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ก็ได้หากได้พื้นที่ที่มีทำเลดีเหมาะสมกับการลงทุน
ขณะที่ปีที่แล้วแมคโดนัลด์เปิดสาขาใหม่ได้ 15 สาขา เพราะมีปัจจัยลบมากทั้งการหาทำเลดีนั้นยากหรือพื้นที่ไม่มีขนาดที่ต้องการ รวมทั้งปัญหาการเมืองด้วยในช่วงแรกทำให้สะดุดไปบ้าง ปัจจุบันแมคโดนัลด์มีสาขารวมทั้งสิ้น 191 สาขา แบ่งเป็นสาขาไดร์ฟทรู (การสั่งซื้ออาหารโดยไม่ต้องลงจากรถ) 48 สาขา และสาขาบริการ 24 ชั่วโมง 85 สาขา และที่เหลืออื่นๆเช่น ดีลิเวอรี่ ร้านเคาน์เตอร์ (บางสาขาก็มีบริการหลายรูปแบบ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากทั้ง 5 แบรนด์ใหญ่นี้รวมเงินลงทุนในปี 2557 นี้ก็มีมากกว่า 3,190 - 3,200 ล้านบาทแล้วในการขยายสาขาครอบคลุมในปีนี้