xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้

เผยแพร่:   โดย: ไพรัตน์ แย้มโกสุม

สถานการณ์บ้านเมืองช่วงนี้อำมหิตมาก มีระเบิดและเสียงปืนหล่นใส่ประชาชนผู้บริสุทธิ์มือเปล่าทุกวัน ประชาชนผู้กล้า-รักชาติบ้านเมืองเหล่านั้น มีทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ความรุนแรงก็ไม่ได้ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้นๆ ดุจดั่ง “บ้านเมืองไร้ขื่อแป” ผู้มีหน้าที่-ไม่ทำหน้าที่ ผู้ทำผิด-ไม่ยอมรับผิดรับโทษตามกฎหมายกลับลอยนวลทำผิดยิ่งขึ้น แม้ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ พิพากษาถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่ยอมรับ ผู้คนทั้งหลายได้แต่งุนงงสงสัย...

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

พระพุทธเจ้า ตรัสว่า... “โลกย่อมขัดแย้งกับเรา แต่เราไม่ขัดแย้งกับโลก”

เหตุที่พระองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก เพราะทรงมองทะลุปรุโปร่ง เมื่อมีเหตุปัจจัย มันก็ต้องมีเกิด มีดับ เป็นธรรมดา

การมีสติรู้เท่าทัน รู้ตัวทั่วพร้อม จะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ อยู่กับความขัดแย้งได้ อยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้

โลกคือการเปลี่ยนแปลง ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง สำคัญอยู่ที่ว่า จะเปลี่ยนแปลงไปทางใด เทพหรือมาร ดีหรือชั่ว ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ

คนเรามีสองฝ่ายชัดเจน คือฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ

คนที่อ้างว่า ไม่อยู่ฝ่ายใด แต่ชอบมองโลกสวยว่า เป็นกลาง คนเช่นนี้แปลก ไม่มีเหตุผล ไม่ยอมเป็นคนดีหรือคนชั่ว แล้วมันเป็นอะไร (ว่ะ)

แต่ที่แปลกกว่านั้น ไม่มีใครยอมรับว่า ตนอยู่ฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายเผด็จการ มีแต่บอกว่า ตัวเองอยู่ฝ่ายดี ตัวเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย

ปาก-ไม่ใช่มาตรวัดว่าเป็นอะไร พฤติกรรมและกาลเวลาต่างหาก ที่เป็นเครื่องวัดเครื่องพิสูจน์ดั่งมอตโตเดิมแท้ที่ว่า... “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”

ถามว่า...ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ อย่างไหนดีอย่างไหนชั่ว ใครๆ แม้เด็กอนุบาลก็ตอบได้ว่า ประชาธิปไตยดี เผด็จการชั่ว

ดังนั้น คนดีจึงชอบประชาธิปไตย ส่วนคนชั่วก็ชอบเผด็จการเป็นธรรมดา

ประชาธิปไตย (ประชา+อธิปไตย) คือระบอบการปกครองที่ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ชอบตีความกันอย่างนี้ แต่ถ้าเสียงข้างมากเป็นโจร เป็นคนชั่ว เป็นคนโกงกินไม่เลือก ดั่ง แร้งดำหิมาลัย (สำนวน อ.ธีรยุทธ บุญมี) แล้วชาติบ้านเมืองจะเหลืออะไรให้ลูกหลานได้ดำรงชีพ

โดยปริยายประชาธิปไตยหมายถึง การยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น อย่างนี้จึงจะสมกับคำว่าประชาธิปไตย คือประชาชนเป็นใหญ่

ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ให้ความหมายถูกตรงถูกต้องว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ แต่ผลประโยชน์ของมวลมหาประชาชนเป็นใหญ่ (จะคิดจะทำอะไรต้องคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่คิดถึงแต่ของกู โคตรกู และขี้ข้ากูเท่านั้น-ผมว่าเอง)

มีนักปราชญ์อินเดียท่านหนึ่ง กล่าวว่า... “ประชาธิปไตยจะประสบผลสำเร็จ หากปัจจัยดังต่อไปนี้มีอยู่ท่ามกลางประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ปัจจัยดังกล่าวคือ (1) ศีลธรรม (2) ความรู้หนังสือ (3) ความตื่นตัวทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง มิฉะนั้นแล้ว ประชาธิปไตยก็คือเครื่องมือหลอกลวงประชาชน”

นักการเมือง นักวิชาการ ผู้กระหายเลือกตั้ง รวมทั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหลาย มีปัจจัยดังกล่าวสักข้อบ้างไหม?

เผด็จการ คือการใช้อำนาจบริหารเด็ดขาดโดยไม่ฟังเสียงผู้อื่น (พบได้ทั่วไปในหน่วยงานต่างๆ) แล้วก็แก่กล้าเป็น “ทรราช” คือผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อำนาจกดขี่ ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครอง

คนเราถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง

ถ้าผู้ปกครองดี ก็เป็นประชาธิปไตย ผู้ถูกปกครองก็มีความสุข มีเสรีภาพ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ หากผู้ปกครองชั่วก็เป็นเผด็จการทรราช ผู้ถูกปกครองก็ได้รับความเดือดร้อน ถูกกดขี่ข่งเหง ขูดรีด มีหนี้สินล้นพ้นตัว ตายเกิด ตายเกิดหลายชาติก็คงใช้หนี้ไม่หมด บาปกรรมตกแก่ลูกหลาน ทั้งที่เขาไม่ได้ก่อ

ระหว่างคนดีกับคนชั่ว หรือความถูกต้องกับชั่วร้าย หรือประชาธิปไตยกับเผด็จการ ความขัดแย้งไม่ยอมลดละ มีแต่รุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากจะแพ้-ชนะกันโดยเด็ดขาด (เมื่อจบแล้ว ใช่ว่าจะหยุดเลย อีก 10 ปี 20 ปี ก็จะเกิดขึ้นอีก เพราะคนมักลืมประวัติศาสตร์ จึงซ้ำรอยอยู่เสมอ)

จึงเกิดกระบวนการทำลายประชาธิปไตย

ก่อนจะกล่าวถึงกระบวนการทำลายประชาธิปไตยอย่างไร ขอเกริ่นถึงกระบวนการประชาธิปไตยพอสังเขปก่อน ดังนี้...

กระบวนการประชาธิปไตย (Democratic Process) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญรากหนึ่งของประชาธิปไตย (รากฐานประชาธิปไตยแบ่งออก 5 ประการ ได้แก่ กระบวนการประชาธิปไตย, การใช้เหตุผล, เสรีภาพ, เสมอภาค และการใช้เสียงข้างมาก) ประกอบด้วย...

1. การโต้เถียง

2. การอภิปราย

3. การแสดงความคิดเห็น

4. การเลือกตั้ง

5. การให้ประชาชนออกเสียงรับรองกฎหมายที่ผ่านสภาฯ แล้ว

6. การให้ประชาชนเสนอร่างกฎหมายต่อสภาฯ ได้เอง

7. การให้ประชาชนออกเสียงลงมติถอดถอนผู้แทนราษฎรออกจากตำแหน่งได้

8. การปกครองแบบรัฐสภา

9. การปกครองแบบประธานาธิบดี

กระบวนการประชาธิปไตยตามที่กล่าวมานี้ จะทำให้เกิด Consensus คือความเป็นเอกฉันท์ หรือความสอดคล้องต้องกัน ซึ่งในระบบเผด็จการนั้นจะไม่มี เพราะไม่ยอมรับสิทธิของประชาชน

กระบวนการเผด็จการ (Dictatorship Process) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำลายประชาธิปไตยนั้น มีลักษณะสำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น...

1. การดำเนินการก่อกวนในทางการเมือง โดย กลุ่มผู้ก่อกวนทางการเมือง ที่เรียกว่า “เดมอะกอก Demagogue”

2. การใช้อำนาจและความรุนแรง

3. การใช้ตำรวจการเมือง

4. หลักการใช้ผู้นำ หรือระบบผู้นำนิยม

5. เสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐ

6. จักรวรรดินิยม หรือการขยายดินแดน

7. การใช้ศาสนา

8. นิยมว่ารัฐและพรรคนั้น เป็นสิ่งที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

9. การรวมอำนาจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะประการแรก คือ การก่อกวนทางการเมือง (Demagogue) ซึ่งประกอบด้วย...

1. การใช้บังคับขู่เข็ญ มีวิธีนานาประการที่จะบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตาม เช่น การคุกคามว่าจะละเมิดเสรีภาพส่วนตัว ชื่อเสียง ชีวิตร่างกาย ทรัพย์สิน ถ้าไม่เลือกเบอร์...ให้ หรือถ้าไม่เข้าข้างด้วย

2. การทุจริต เช่น ซื้อเสียง หรือบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้าน ดำเนินการที่จะอำนวยประโยชน์ให้แก่ตน บุคคลที่ถูกบังคับเหล่านี้ได้แก่ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกเทศมนตรี นายก อบต.บางครั้งเลยเถิดถึงพระสงฆ์องค์เจ้า

3. สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์นานาประการที่มิชอบ ถ้าออกเสียงเลือกตั้งให้ จะให้อภิสิทธิ์ในเรื่องต่างๆ เช่น โดยสารรถฟรี พกอาวุธปืนได้ ไม่ต้องเสียภาษี ฯลฯ

4. การให้ข่าวผิดๆ เพื่อประชาชนจะได้เข้าใจผิด และออกเสียงเลือกตั้งให้แก่ตน เช่น ใกล้ๆ วันเลือกตั้ง จะมีการโหมโฆษณาคู่ต่อสู้ในลักษณะใส่ร้ายป้ายสี จนคู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ติด ตามแก้ไม่ทัน ฯลฯ

5. การผูกขาด คือใช้วิธีการต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนไม่อยากออกเสียงเลือกตั้งคนอื่น นอกจากตัวเอง

ฯลฯ

ที่กล่าวมาเป็นรัฐศาสตร์การบ้านการเมืองโดยทั่วไป เป็นทฤษฎีง่ายๆ ที่รู้ๆ กันอยู่ อาจปรับใช้ได้บ้างในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ จะทำให้มองเห็นตัวตนของแต่ละฝ่ายได้ดี และตอบโจทย์ได้ชัดว่า...ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

ท่านมหาตมะ คานธี กูรูนักรบสันติอหิงสาของโลก กล่าวว่า... “วัตถุประสงค์ของการมีชีวิตคือ อยู่ให้ถูกต้อง คิดให้ถูกต้อง กระทำให้ถูกต้อง” เป็นอมตะวาจาที่ไม่มีวันตาย ซึ่งผู้มีสติปัญญาตื่นรู้ทั้งหลายยึดถือเป็นแบบอย่าง เป็นเส้นทางสู่การดำรงอยู่ของชีวิต

แต่สาวกของ “มาเคียวเวลลี Machiavelli” จะอยู่ จะคิด จะทำ ในลักษณะตรงกันข้ามคือ “อยู่ให้ชั่วร้าย คิดให้ชั่วร้าย ทำให้ชั่วร้าย” ใครจะทำไม (โว้ย) แม้เว็บเดอะทอปเทนจะเลื่อนฐานะผู้นำห่วยอันดับหนึ่ง อันดับสองของโลก เขาคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร อาจจะสาแก่ใจซะอีก

“คนโกหก ไม่ทำบาปทำชั่ว ไม่มี” ฝ่ายหนึ่งว่า

“การโกหก การทำบาปทำชั่ว คืออาหารจานเลิศของคนฉลาดที่ยิ่งใหญ่” สาวกมาเคียวเวลลีปีศาจการเมือง สวนดังๆ ในใจ

ดุจดั่ง “แดรกคูลา” ผู้สูงศักดิ์ระดับท่านเคานต์ ยามกลางวันนอนในโลงศพ ยามค่ำคืนออกจากโลงหาเหยื่อ คือเลือดมนุษย์ โดยเฉพาะเลือดของหญิงพรหมจรรย์ชอบนัก แซบ หวาน บำรุงกำลังดีเยี่ยม แต่สิ่งที่เกลียดและกลัวของท่านเคานต์คือ แสงอาทิตย์ และไม้กางเขน แสงอาทิตย์คือความจริง บริสุทธิ์ใสสะอาด ไม้กางเขน คือหลักธรรมคำสอนให้คนทำความดี ยึดหลักกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในที่สุด แดรกคูลาปีศาจการเมืองดูดเลือดมนุษย์ ก็จบชีวิตด้วยพลังของความถูกต้อง ที่เขาเคยเกลียดเคยกลัว เคยทำลายใส่ร้ายป้ายสีเป็นไปตามกฎแห่งกรรม จะในชาตินี้

“ทำสิ่งใด-ได้สิ่งนั้น”

“เคยทำลายเขา เคยฆ่าเขา ในที่สุดก็ถูกเขาฆ่า บางทีไม่มีใครฆ่า แต่ฆ่าตัวเอง”

ตะกวด (หรือเลน เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเหี้ย ซึ่งเป็นคำด่าหมายถึง เลว, ชั่วช้า) ตัวหนึ่งออกหาเหยื่อ คงหิวมากจนตาลาย เห็นหางตัวเองนึกว่าเหยื่อ จึงรีบงับขย้ำหางอย่างเมามัน รู้สึกเจ็บ และเลือดไหลออกมา คิดว่าเหยื่อตัวนี้ต้องเป็นศัตรูตัวร้ายจึงไม่ยอมง่ายๆ มันสู้ มันเป็นกบฏ จึงโหมกระหน่ำบดขยี้กลืนกินเข้าไป ยิ่งเจ็บยิ่งกัด ยิ่งปวดยิ่งฟัด ในที่สุดทนบาดแผลที่ตัวเองทำเองไม่ไหว ก็ขาดใจตาย ก่อนรู้ความจริง (ว่ามันโง่เอง) ก็สายไปเสียแล้ว

นักทุจริตคอร์รัปชัน หรือเผด็จการทรราชทั้งหลาย ลึกๆ แล้วไม่มีใครฆ่าท่านหรอก ท่านนั่นแหละฆ่าตัวท่านเอง

เรื่องราวของตะกวดก็ดี ปีศาจการเมืองอย่างมาเคียวเวลลี หรือแดรกคูลาก็ดี หรือกระบวนการทำลายประชาธิปไตยก็ดี ล้วนคือปัจจัยที่เป็นปรากฏการณ์แห่งความขัดแย้งของสองฝ่าย (อย่างปัจจุบันคือ เอากับไม่เอาระบอบทักษิณ) ว่าฝ่ายไหนถูกต้อง หรือชั่วร้าย ฝ่ายไหนรัก หรือทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ฝ่ายไหนปฏิรูปหรือปฏิกูล ฝ่ายไหนมียางอายหรือไร้ยางอาย ฝ่ายไหนธรรมะหรืออธรรม ฝ่ายไหนประชาธิปไตยหรือเผด็จการทรราช ฯลฯ

สามเหล่าทัพแห่งกองทัพไทยมีอาวุธมีพลังมหาศาล แสนยานุภาพเกรียงไกรเป็นความหวังสุดท้ายของมวลมหาประชาชน ผู้ลุกขึ้นสู้กับชาติด้วยมือเปล่า สันติ อหิงสา ปรารถนาจะปฏิรูปประเทศไทยให้ดีขึ้นเจริญขึ้น เพื่อผองชนในปัจจุบัน และลูกหลานเหลนในอนาคต

ท่านทหารทั้งหลาย ย่อมตระหนักรู้ อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด อะไรเพื่อส่วนรวม อะไรเพื่อส่วนตน จึงเลือกที่จะยืนอยู่ข้างใดได้ถูกต้อง และกระทำอย่างถูกต้องโดยพลัน หรือ (หรือ) จะปล่อยให้เหตุการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น จบชีวิต เลือด น้ำตาของไทยพี่น้องไหลนองแผ่นดินซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

ก็เพราะมันเป็นเช่นนั้น!
กำลังโหลดความคิดเห็น