xs
xsm
sm
md
lg

เขาคือ “มหาตมะคานธี” ประเทศไทย “ปูแดง” อย่าคิดจับ “สุเทพ” มวลชนลุกฮือ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พรรคประชาธิปัตย์อุ่นใจมวลมหาประชาชนอุ้ม ‘สุเทพ’ ไม่ยอมให้ตำรวจจับกุมเด็ดขาด คาด 28 พ.ย.ชี้ขาด ส.ส.พรรคจะลาออกทั้งหมด หรือใช้ยุทธวิธีใดต่อสู้ เชื่อ ‘ยิ่งลักษณ์’ เลือกยุบสภาลดความร้อนแรงทางการเมือง ด้าน ‘ไชยวัฒน์’ บอกทหารส่งสัญญาณกดดันทักษิณ-ตำรวจ ห้ามใช้ความรุนแรง มั่นใจ ‘สุเทพ’ ถูกจับมวลชนลุกฮือ พร้อมเกิดแกนนำคนใหม่นำทัพสู้ ขณะที่อดีตอธิการบดีนิด้า บอก สุเทพเสียสละเพื่อชาติ ใช้ยุทธศาสตร์ The Salt March แบบ ‘มหาตมะคานธี’ เข้ายึดหน่วยราชการทั้งหมดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อชัยชนะของประชาชน

หลังศาลอาญาออกหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำมวลชนต่อต้านระบอบทักษิณในเวลานี้ ได้มีข่าวความเคลื่อนไหวว่าตำรวจจะเข้าจับกุมนายสุเทพในคืนวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา และมวลชนเชื่อว่าเป็นความจริง และมีการระดมกำลังเข้าปกป้องนายสุเทพอย่างรวดเร็วด้วยการขับรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาล้อมบริเวณกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างมีพลังเช่นนี้

สาเหตุคือขณะนี้มวลชนอยู่ในสภาวะที่จะไม่ยอมให้รัฐบาลมาทำอะไรผู้นำของเขาเด็ดขาด ภาพนี้จะยิ่งเด่นชัดขึ้นมาทันทีที่ตำรวจหาญกล้าเข้าจับนายสุเทพ ขณะที่นายสุเทพก็ประกาศชัดว่าจะเข้ามอบตัวเองทันทีที่เกมจบ

เมื่อเป็นอย่างนี้ยิ่งเท่ากับว่าได้ใจประชาชนมากขึ้นไปอีก และหากเมื่อไรก็ตามที่นายสุเทพถูกจับ โอกาสมวลชนลุกฮือขึ้นมาจะเกิดขึ้นทันที บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟหรือไม่ และพรรคประชาธิปัตย์วางแผนตั้งรับที่จะช่วยนายสุเทพและแกนนำ หรือลอยแพคนเหล่านี้?

28 พ.ย.บ่าย ปชป.เตรียมกำหนดท่าที

แหล่งข่าวพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เป็นธรรมชาติของการชุมนุม ที่ฝ่ายรัฐบาลจะมาจับกุมแกนนำมวลชน แต่มันไม่ได้ง่าย เพราะแกนนำมวลชนจะอยู่ที่ที่มีมวลชนล้อมรอบอยู่ตลอด และหากเมื่อไรที่มีการจับกุมแกนนำมวลชนที่เวลานี้คือ “นายสุเทพ” จะเกิดการลุกฮือจากมวลชนที่ออกมาต่อสู้จำนวนมากอย่างแน่นอน

เพราะวันนี้มวลชนต้องการล้มระบอบทักษิณ ไม่ได้มาช่วยประชาธิปัตย์แต่อย่างใด การออกมาทำอะไรที่แสดงออกถึงอำนาจ อำนาจที่ไม่ฟังเสียงประชาชน ประชาชนจะยอมไม่ได้

อย่าลืมว่าเมื่อวานนายสุเทพประกาศเทหมดหน้าตักไปแล้ว คืนอำนาจทางการเมืองให้ประชาชน โดยเฉพาะการประกาศทั้งตัวนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ที่จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองในช่วงสภาการปฏิรูปของภาคประชาชน และสัญญาด้วยว่าจะเป็นรัฐบาลจัดตั้งระยะสั้น และพร้อมเลือกตั้งใหม่ทันทีที่การเมืองของประเทศไทยเข้าสู่สภาวะปกติ

แหล่งข่าวพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ที่สำคัญที่อยากให้จับตาคือ วันที่ 28 พ.ย. หลังที่ประชุมสภาฯ มีการลงมติไม่ไว้วางใจ พรรคประชาธิปัตย์จะมีการประชุมลับตอนบ่าย เพื่อกำหนดท่าทีทางการเมืองครั้งสำคัญ แต่จะออกมาเป็นอย่างไร ตอนนี้บอกได้แค่ว่า ไม่มีใครรู้ เพราะเกมการเมืองพลิกตลอดเวลา

“ที่จริงตอนบ่ายวันที่ 28 จะมีการเปิดประชุมร่วมรัฐสภา สายหนึ่งบอกว่าจะให้ ส.ส. ส.ว.ลงมติไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ แต่ประธานสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ก็บอกว่าไม่มี แค่คุยถึงมาตรา 190 แต่ปรากฏว่าเมื่อ 8 โมงเช้าวันที่ 27 เพิ่งมีการขอยกเลิกไปสดๆ ร้อนๆ”

สิ่งเหล่านี้แปลสัญญาณได้ว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไรบางอย่าง!

จับตารัฐบาล “ยุบสภา”

อย่างไรก็ดี สิ่งที่รัฐบาลกระทำนั้น พรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า เมื่อการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเสร็จสิ้นในวันที่ 28 พ.ย. ช่วงเช้า โอกาสที่รัฐบาลจะประกาศยุบสภาก็มีสูง และสามารถยุบสภาได้ทันทีหลังมีการปิดประชุมสภาฯ แล้ว ดังนั้นวันที่ 28 เป็นวันที่พรรคประชาธิปัตย์จะมีการประชุมเพื่อกำหนดท่าทีการต่อสู้ ว่าจะเดินหน้าทางการเมืองอย่างไร จะออกมาสู้กับนายสุเทพหรือไม่ อยู่ที่หลังการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีการประชุมกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“เดิมเราคุยกันว่า คุณสุเทพออกไปสู้ก็เป็นเรื่องของคุณสุเทพ เสียงส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า ถ้าสภาฯ ยังอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ต้องอยู่ จะมาปล่อยให้พรรคเพื่อไทยมาทำอะไรคนเดียวไม่ได้ ยอมไม่ได้ ดังนั้นแนวทางเราชัดคือ รัฐสภาอยู่ เราอยู่”

แต่ในวันที่ 28 พ.ย. จะไม่ใช่แล้ว การประชุมในตอนบ่ายของพรรคประชาธิปัตย์ จะมีการกำหนดท่าทีที่สอดรับกับการต่อสู้ทางการเมือง ในสถานการณ์ที่กำลังพลิกผันไปเรื่อยๆ ที่ตอนนี้ยังคาดไม่ได้

“อย่างที่บอก การเมืองเปลี่ยนตลอดเวลา ท่าทีประธานรัฐสภาก็เป็นจังหวะหนึ่ง ที่เราทายว่าน่าจะมีการประกาศยุบสภา แต่ก็ไม่แน่ ถ้าการเมืองภายนอกเกิดความรุนแรง ส.ส.ประชาธิปัตย์จะลาออกทั้งหมดก็เป็นไปได้เช่นกัน”

อย่างไรก็ดี สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่าการเดินเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีทางเดียวที่จะชนะ คือการปล่อยให้มีการชุมนุมยืดเยื้อ เพราะการชุมนุมยืดเยื้อจะทำให้กำลังมวลชนที่มาชุมนุมน้อยลง, ค่าใช้จ่ายในการชุมนุมที่ต้องใช้จำนวนมาก ที่สำคัญคือกระแสประชาชนจะตีกลับมาต่อต้านผู้ชุมนุมเอง หากชุมนุมยืดเยื้อ

ดังนั้น ในวันที่ 28 พ.ย.นี้พรรคประชาธิปัตย์จะต้องมีการกำหนดท่าทีที่ชัดเจนออกมา

กระนั้น เวลานี้จึงยังไม่มีอะไรแน่นอนว่าประชาธิปัตย์จะมาเดินร่วมกับนายสุเทพหรือไม่? ดูท่าแล้ว ประชาธิปัตย์น่าจะยังใช้วิธีแยกกันเดินกับนายสุเทพต่อไปด้วย

แต่สิ่งที่ประชาธิปัตย์ไม่กังวล และไม่ต้องห่วงคือ ขณะนี้นายสุเทพมีมวลชนเข้าล้อมรอบซึ่งเป็นเกราะกำบังได้ดีที่สุดในเวลานี้

แกนนำรุ่นใหม่พร้อมแทนสุเทพ

ด้าน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กล่าวว่า หากนายสุเทพโดนจับเมื่อไร เหตุการณ์จะย้อนกลับไปสมัยพฤษภาทมิฬทันที ตอนที่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง โดนจับ

“มันจะคล้ายๆ พฤษภาทมิฬ คือเมื่อพลตรีจำลองถูกจับ จะมีคนอื่นมานำแทนอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นอารมณ์ของมวลชนจะโกรธแค้น ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นแกนนำจะได้รับการยอมรับทันที ไม่มีการถือสากัน อะไรที่ออกมาจะเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกัน พยักพเยิดกันหมด”

จุดเดียวที่การเมืองไทยเวลานี้ต่างจากพฤษภาทมิฬ คือเกมการเมืองเบื้องหลังไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะท่าทีของทหาร

“คุณทักษิณ และตำรวจ ไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจจะไม่รุนแรงนะ เขาอยากทำ แต่ทำไม่ได้ เพราะทหารส่งสัญญาณไปบอกเขาแล้วก่อนหน้านี้ ว่ารุนแรงเมื่อไรทหารจะออกมายืนข้างประชาชนทันที”

ดังนั้น สถานการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายตำรวจในเวลานี้คือ ไม่กล้าจับกุมแกนนำ และประชาชนที่ออกมาจำนวนมาก ตำรวจก็ได้แต่ถอย

“เมื่อคืนนี้มีการมอบผู้กำกับให้ไปจับคุณสุเทพนะ แต่สุดท้ายผู้กำกับก็ไม่จับ เขาก็กลัวถูกกระทืบ วันนี้ไม่มีใครกล้าจับคุณสุเทพ เพราะคุณสุเทพอยู่ในวงล้อมของมวลชน เว้นแต่คุณสุเทพประมาทไปไหนมาไหนคนเดียว ก็โดนล็อกตัวแน่”

แต่หากมีการล็อกตัวคุณสุเทพ มวลชนจะลุกฮือ

“ต้องยอมรับก่อนนะ ตอนนี้คุณสุเทพเป็นศูนย์รวมของประชาชนในการต่อสู้กับระบอบทักษิณในเวลานี้อย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณสุเทพ เท่ากับว่าประชาชนจะไม่ยอมอย่างแน่นอน”

ยึดหน่วยราชการ-เตือน ขรก.ผู้ใหญ่อย่ารับใช้ทรราช

ขณะเดียวกัน นายไชยวัฒน์ อยากให้ประชาชนจับตาการขับเคลื่อนเข้ายึดหน่วยราชการมันมีนัยสำคัญในเชิงการต่อสู้

“อย่าไปมองว่าไปแค่ยึดกระทรวงต่างๆ ไม่ให้มีการทำงานได้นะ ที่จริงคือไปเพื่อเป็นเหตุผลว่า เมื่อรัฐบาลทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นรัฐบาลที่ละเมิดกฎหมายสำคัญของชาติ ดังนั้นการไปหน่วยราชการคือเพื่อไปบอกว่าประชาชนไม่เห็นด้วยกับข้าราชการที่จะยังทำงานให้รัฐบาลที่ทำผิดกฎหมาย”

ส่วนขั้นตอนต่อจากนี้ไปคือ มวลชนสามารถแจ้งความเอาผิดข้าราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีได้ด้วย เพราะกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ที่มิชอบ มีอายุความ 20 ปี

ดังนั้นถึงวันนี้แล้ว ข้าราชการต้องเลือกว่าจะทำงานกับรัฐบาลที่ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญต่อไปหรือไม่

นี่คือเกมระดับลึกที่การปฏิวัติของภาคประชาชนกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย

หากครั้งนี้มวลชนชนะ จะมีการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่และเป็นไปตาม “พิมพ์เขียว” ที่นายสุเทพได้ประกาศไว้ชัดเจน ซึ่งจะมีผลดีต่อส่วนรวมไม่ใช่ต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือแกนนำ รวมไปถึงพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

โดยแนวทางปฏิรูปประเทศไทยที่นายสุเทพได้ประกาศไว้ชัดเจน เมื่อคืนวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา 6 ประการประกอบด้วย 1. ให้มีระบบเลือกตั้งที่ซื้อเสียงไม่ได้ 2. แก้ปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน เช่นการแก้กฎหมายให้คดีทุจริตไม่มีอายุความ 3. ให้อำนาจประชาชนอย่างแท้จริง ได้แก่ การให้สิทธิที่ปฏิบัติได้ในการให้ประชาชนถอดถอนนักการเมือง, การกระจายอำนาจ เช่น การให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด

4. การปฏิรูปตำรวจ ให้ตำรวจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง 5. ปฏิรูปข้าราชการให้เป็นของประชาชน ไม่เป็นขี้ข้านักการเมือง 6. แก้ปัญหาการศึกษา สังคม สาธารณสุข คมนาคม ปรับระบบเศรษฐกิจให้ปลอดการผูกขาด ลงทุนในระบบขนส่งให้ตอบโจทย์ประเทศ ไม่ใช่ตอบโจทย์นักการเมือง โดยทั้งหมดจะดำเนินงานโดยรัฐบาลประชาชนที่จะมาทำหน้าที่ชั่วคราว

นักวิชาการขานรับ 6 แนวทางปฏิรูป

ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า โดยปกติเรื่องของการเปลี่ยนแปลงประเทศกรณีเฉพาะมีสถานการณ์วิกฤตเกิดขึ้น จะมีการขอความเห็นจากประชาชนว่าประชาชนต้องการอะไร และเห็นพ้องที่จะให้ทำอะไรกับระบบที่เป็นอยู่ จะเป็นสัญญาประชาคมที่เป็นข้อตกลงร่วมกัน

ดังนั้น สิ่งที่นายสุเทพประกาศนั้น ไม่ได้ประกาศแบบคิดเอง แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนอึดอัดคับข้องใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะประเด็นการซื้อสิทธิขายเสียง ที่ทำให้เกิดธุรกิจการเมือง เกิดสภาทาสฯ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพราะรับใช้แค่ผลประโยชน์ของคนคนเดียว อีกทั้งการทุจริตคอร์รัปชันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่

“ดูมาเลเซีย ทำไมก้าวหน้าไปไกลกว่าเรา อย่างรายได้ต่อหัวประชากรของไทยอยู่ที่ประมาณ 5,000 เหรียญสหรัฐ แต่ตอนนี้มาเลเซียมีรายได้ของประชากรต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ไทยได้น้อยเพราะการเมืองไทยมีการทุจริตคอร์รัปชันเสียมาก”

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแอร์พอร์ตลิงก์ เป็นโครงการลงทุน 3 หมื่นล้านบาท แต่ขาดทุนไปสูงถึง 1 หมื่นล้านบาททั้งๆ ที่ไม่ควรจะขาดทุน หรือจำนำข้าวที่ขาดทุนขนาดหลายแสนล้านในเวลานี้ก็ไม่ได้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร เงินที่ขาดทุนไม่ได้ตกอยู่กับเกษตรกร แต่ตกอยู่ในกระบวนการทุจริต เรียกได้ว่าเป็นการหากินกับความยากจน

สิ่งที่นายสุเทพพูดในวันนี้มันจึงเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความรู้สึกของประชาชนที่อึดอัดมานาน

สิ่งที่อยากให้มองวันนี้คือนายสุเทพกำลังเคลื่อนไหวเพื่อประชาชนอย่างเสียสละ ขณะที่ประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมโค่นระบอบทักษิณได้สำเร็จแล้ว สุดท้ายคนกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มที่จะได้ประโยชน์อะไรนัก แต่เขาก็มา เพราะเขาเสียสละ มานอนกลางดิน เดี๋ยวฝนตก แดดออก แต่เขาก็มาเพราะต้องการให้เกิดการเมืองแบบใหม่ขึ้นมา

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เป็นพลังบริสุทธิ์ที่ต้องการเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี!

สุเทพผู้เสียสละ-สู้แบบมหาตมะคานธี

ศ.ดร.สมบัติบอกอีกว่า ขณะนี้มีหลายกลุ่มเริ่มต่อต้านนายสุเทพ และแกนนำ ที่เลือกใช้วิธีการไปยึดหน่วยราชการ ตรงนี้จึงเกิดคำถามว่า แล้วจะให้นายสุเทพทำอย่างไร จะชุมนุมที่ราชดำเนินอย่างสุภาพไปทุกวันๆ ในภาวะที่รัฐบาลไม่ได้รู้สึกผิด ไม่ได้รู้สึกอยากแก้ไขอะไรเลยกระนั้นหรือ

“ผมบอกได้เลยไม่มีทางสำเร็จ ถ้าชุมนุมที่ราชดำเนินแบบสุภาพไปทุกวันๆ”

ถ้าอยากให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงมีแต่ภาคประชาชนต้องออกมาสนับสนุนนายสุเทพ

“ฝากบอกคนที่กำลังต่อว่าว่าสิ่งที่คุณสุเทพทำผิดกฎหมาย ให้ไปดูมหาตมะคานธี ในการต่อสู้ด้วยหลักอหิงสา ก็มีการประกาศปฏิเสธกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเป็นปี เรียกว่าเหตุการณ์ The Salt March เพราะว่ากฎหมายไม่เป็นธรรม นี่ก็คือการต่อสู้แบบอหิงสาเหมือนกัน”

ตรงนี้จึงอยากถามกลับกลุ่มที่โจมตีนายสุเทพว่าไม่อหิงสาตรงไหน แล้วจะให้มารวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตกดึกก็กลับบ้าน พรุ่งนี้มาใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รัฐบาลจะฟังเมื่อไร

ดังนั้น กลวิธีที่นายสุเทพและแกนนำ เคลื่อนพลยึดหน่วยราชการจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องและเหมาะสมตามหลักการต่อสู้แบบอหิงสาเช่นกัน!

กำลังโหลดความคิดเห็น