ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ท่ามกลางความมืดมนอนธการที่มวลมหาประชาชนหมดหวังกับ “ทหาร” โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา “บิ๊กถั่งเช่า-ผู้นำเหล่าทัพ(บางคน)” เลือกที่จะเล่นบทไทยเฉย เพื่อตีกินหรือแสวงหาผลประโยชน์จากระบอบทักษิณ ก็ปรากฏข่าวที่สร้างความชุ่มชื่นในหัวใจเกิดขึ้นจากนายทหารแห่งกองทัพเรือที่มีชื่อว่า “พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์” ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) กองเรือยุทธการ
ท่าทีและคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ร.ต.วินัยได้ไขปริศนาแห่งความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างหมดเปลือก นับแต่การชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 และการชุมนุมของมวลมหาประชาชนนำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณในขณะนี้
“สำหรับคนที่มาก่อเหตุปาระเบิด เป็นคนที่ได้รับการฝึกมาโดยเฉพาะ ในปี 52 และปี 53 ที่มีเรื่องของเสื้อแดง เสื้อแดงชำนาญเรื่องนี้หรือเปล่า เป็นชายชุดดำที่เคยเคลื่อนไหวในปี 53 และมีใครคุมอยู่ เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เต็มไปหมด ทำไมทำเรื่องนี้ให้ปรากฏความจริงไม่ได้ ที่ว่าเป็นชายชุดดำปี 53 ก็ดูวิธีการจากการกระทำ ดูความเหี้ยมโหด ดูสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ในปี 52 และ 53 มีข่าวว่ามีต่างชาติเข้ามาทำ คราวนี้ก็มีข่าวว่า ต่างชาติเข้ามาอีก จากการดูวิธีการขว้างระเบิดต้องมีพื้นฐานพอสมควร อาร์จีดีที่นำมาใช้ก่อเหตุก็คงไปซื้อมาจากชายแดนทางภาคตะวันออก มีข่าวก่อนหน้านี้ขนเข้ามา และเมื่อคืนนี้(20 มกราคม 2557) มีขนเข้ามา ประมาณ 10 คันรถตู้ จากชายแดนฝั่งตะวันออก ขนเข้ามาเพื่อจะก่อความไม่สงบ ตอนนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่มีหูตาสัปปะรดมากกว่า อยู่ทุกท้องที่ มีสายสืบเต็มไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณปล่อยปะละเลย”(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้า 8-9)
แต่ที่เด็ดสะระตี่ไม่แพ้กันก็คือ คำตอบของ พล.ร.ต.วินัยต่อคำถามที่ว่า“หากรัฐบาลประชุม แล้วตัดสินใจประกาศบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน ในพรก.ฉุกเฉินก็ต้องสั่งทหารออก ถ้าเขาสั่ง ผบ.จะออกหรือไม่”
พล.ร.ต.วินัย ตอบชัดเจนว่า “ออกเป็นการทำตามหน้าที่ แต่เราจะทำหรือไม่ทำก็เรื่องของเรา เรามีวิจารณญาณรู้อยู่แล้ว ถ้ามาสั่งในเรื่องเลว ๆ เราเป็นทหารเราจะทำหรือไม่ ถ้าเขาสั่งมาแต่จะให้ทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้องผมก็ไม่ทำ ตรงนี้คือจุดยืนของตน เพราะตนเป็นทหารของชาติ เป็นทหารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นทหารของประชาชน เรากินเงินจากภาษีของประชาชน”
ท่าทีและคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ร.ต.วินัยช่างแตกต่างจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกโดยสิ้นเชิง
ท่าทีและคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ร.ต.วินัยช่างแตกต่างจากท่าทีของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม
20 มกราคม 2557 ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานวันสถาปนา ร.11 รอ. ครบรอบ 112 ปีว่า “เหตุการณ์วันนี้ไปหากันให้เจอว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แล้วใครจะเป็นคนแก้แล้วจะแก้กันอย่างไร อย่ามาไล่ล่าฆ่าฟันกันเอง ตำรวจและทหารดีๆมีอยู่มาก ผมต้องพูดเพราะรู้สึกอัดอั้นตันใจ ทหารทุกคนไม่มีความสุข นอกจากจะห่วงลูกน้องที่ปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน ต้องมานั่งฟังคนด่าตำหนิอีก คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจทหาร แต่คนอีกส่วนหนึ่งที่มากดดัน ขอให้รู้ว่าทหารทุกคนกดดันมากกว่าท่าน ผมไม่ได้ห่วงตำแหน่ง ตราบใดที่ยังไม่ทำอะไรผิด และรักษากฎกติกาอยู่ ผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ส่วนคนที่กลัวที่หวาดระแวง เพราะกำลังทำความผิดอยู่หรือไม่ ผมอยากพูดเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ เพราะไม่มีคนพูดให้สังคมลดความรุนแรง มีแต่พูดใส่กันไปมา อีกฝ่ายหนึ่งก็โยนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทำ ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าบอกว่าเป็นกลุ่ม กปปส.ทำ แต่ไม่ว่าใครทำต้องไปหาคนทำมาให้ได้ และใครเป็นคนทำให้เกิดความรุนแรงไปไล่กันตรงนั้น อย่ามาไล่ว่าเมื่อไรทหารจะออกมา เมื่อไรตำรวจจะเลิกทำงาน ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจะเอาใครมาดูแล วันนี้คนไทยทุกคนต้องออกมาช่วยกันและหยุดการกล่าวให้ร้ายแก่เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ พอกันได้แล้ว ไปหาคนที่ทำจริงๆ สังคมต้องช่วยกันไล่ล่าคนพวกนี้ นำตัวออกมาให้ได้ ผมว่าทุกคนรู้ว่าใครทำ ไปตามมาอย่าให้คนพวกนี้อยู่ในสังคมได้ และนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้ ”
22 มกราคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า การที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอำนาจและดุลยพินิจของรัฐบาลที่จะประกาศใช้และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล ซึ่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการดูแล และใช้กำลังทหารในการสนับสนุนโดยทหารจะดูแลทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ดูแลฝ่ายใดเป็นพิเศษ ซึ่งหน้าที่หลักของทหารคือการดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง ประชาชน และเจ้าหน้าที่ โดยได้กำชับให้ผู้ปฏิบัติระมัดระวังการใช้อาวุธ และคำนึงถึงข้อกฎหมายใน พ.ร.ก.ดังกล่าว เนื่องจากมีความเข้มงวดมากกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ”
เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ต้องบอกว่า “ตีกิน...ลอยตัว...และอยู่เพื่อรอวันเกษียณอายุราชการ” เท่านั้น
ถามจริงๆ ชุดข้อมูลที่ออกมาจากปากของ พล.ร.ต.วินัย คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ไม่รู้จริงๆ หรือ หรือรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้
และด้วยเหตุดังกล่าวจงอย่าแปลกใจว่า ทำไมสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยวิเคราะห์ท่าทีของผู้นำเหล่าทัพอย่างตรงไปตรงมา
“ดูจากคลิปถั่งเช่า ผมจึงฟันธงได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จับมือกันตลอด แต่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่น่าสมเพช ที่อยู่ในสภาพที่ไม่รู้จะทำอย่างไร จะมาทางนายสุเทพก็ไม่ได้ มาทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ถูกสังคมจับตามอง จึงได้แต่พลิ้วไปพลิ้วมา การที่ พล.อ.ประยุทธ์ลงใต้ไม่เข้าร่วมประชุมออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็เพื่อทำให้ฝ่ายประชาชนเห็นว่าไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย แต่ในขณะเดียวกันการหนีไปใต้ก็เหมือนส่งสัญญาณว่าตนไม่ยุ่ง ใครทำอะไรก็จะไม่ยุ่ง กำลังเลียนแบบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. คือประคองเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ แถมไม่รู้หน้าที่ในการปกป้องสถาบัน เป็นเรื่องที่น่าสมเพช
“อีกคนหนึ่งคือ พล.อ.ธนะศักดิ์เป็นทหารที่ใช้ไม่ได้ หลังจากคลิปถั่งเช่าก็เห็นได้ชัดว่าเทมาอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทหารจริงๆ ไม่ต้องปฏิวัติ เพียงแค่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการ แต่วันนี้ไม่มี รวมไปถึงการแต่งตั้งตำแหน่ง อย่างตำรวจ สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ใครจะเอาตำแหน่งต้องจ่ายเงิน จึงไม่มีบุญคุณกัน แต่สมัยรัฐบาลนี้ใครอยากได้ตำแหน่งต้องไปหา พ.ต.ท.ทักษิณจึงจะได้ตำแหน่ง ไม่ต้องเสียเงิน แต่ให้ทำงานให้ จึงมีบุญคุณกัน อย่างระเบิดก็นำมาจากภาคใต้ เพราะระเบิดสามารถนำมาใช้จากคลังโดยไม่มีใครรู้ และพบว่ามีการนำรถหุ้มเกราะเข้ามา ตอนนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นการเผชิญหน้าระหว่างตำรวจกับทหาร จะเริ่มเห็นมีการปะทะกันระหว่างตำรวจกับทหาร แต่เป้าแรกต้องฆ่านายสุเทพก่อน ขณะที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ก็เป็นคนสนิทของวิระยา ชวกุล คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ และได้ผลประโยชน์จากรัฐบาลนี้”
ทั้งนี้ การแสดงออกของ พล.ร.ต.วินัยสะท้อนให้เห็นว่า ทหารระดับคุมกำลังรบของทุกเหล่าทัพจำนวนไม่น้อยที่อึดอัดกับท่าทีของผู้นำเหล่าทัพถั่งเช่าทั้งหลาย
นี่คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ต้องยอมรับว่า มีผลสะเทือนต่อบรรดาบิ๊กถั่งเช่าในทุกเหล่าทัพไม่น้อยว่าจะยังคงมียางอายหลงเหลืออยู่หรือไม่
และเมื่อ พล.ร.ต.วินัยประกาศตัวว่าเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว ทหารของประชาชน เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 ที่ผ่านผ่านมา ที่หน้ากองบัญชาการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี กลุ่มคนไทย รักชาติ ข้าราชการ พ่อค้า แม่ค้า ครู นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปกว่า 200 คน ได้เดินทางนำพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระเช้าของขวัญ และช่อดอกไม้มามอบให้ พล.ร.ต.วินัยเพื่อเป็นขวัญ และกำลังใจ
ทั้งนี้ พล.ร.ต.วินัยได้เปิดหัวใจต่อหน้าประชาชนอีกครั้งว่า ไม่ได้มีความกังวลกับเหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งที่ยอมรับได้ใน 3 สถานะ คือ ได้คิดก่อนทำ และได้คิดมาเป็นแรมปี ยอมที่จะไม่เลื่อนตำแหน่งสูงสุด เพราะห่วงงานวันนี้ ที่คิดมาเสมอว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ผมจึงอยู่เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ชีวิตประชาชน และประเทศชาติให้มีความสงบสุข ผมยืนยันว่า ทหารเรือเป็นทหารของชาติ ของในหลวง และของประชาชน เราจะไม่ฆ่าคนไทยถึงแม้เขาจะคิดต่าง แต่การที่เอากำลังต่างชาติมาฆ่าคนไทย เมื่อปี พ.ศ.2553 นั้น เป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้ ซึ่งการกระทำครั้งนี้หน่วยก็มีหลักฐานแน่ชัด ที่ผ่านมา การปฏิบัติงานของหน่วยถือเป็นชั้นความลับสุดยอด ลับถึงขั้นต้องให้ตายไปกับตัว ไม่เคยทำเพื่อโปรโมตตัวเอง หรือต้องการลาภยศสรรเสริญ โดยพร้อมจะทำเพื่อชาติ และประชาชน โดยไม่หวั่นว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร พร้อมที่จะยอมตาย ลาออก และติดคุก เพื่อแลกกับความถูกต้อง การได้ปกป้องชีวิตประชาชน และรักษาประเทศชาติเอาไว้ให้ได้ ถ้าเราไม่ทำประเทศชาติวันนี้จะอยู่ไม่ได้ ฉะนั้น ประเทศชาติต้องมาก่อน และลูกหลานของเราในอนาคตจะอยู่อย่างดี และมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เป็นขี้ข้า หรือเป็นทาสของใคร พร้อมจะยืนเคียงข้างประชาชน
เป็นคำกล่าวแสดงจุดยืนท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องและได้ใจคนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ทั้งประเทศ
พร้อมกันนี้ พล.ร.ต.วินัยยังได้มอบเหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รุ่นชนะศึก อันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของเหล่าทหารเรือ และประชาชนคนไทย ให้แก่กลุ่มผู้เดินทางมาให้กำลังใจอีกด้วย
ทว่า วันนี้ สิ่งที่ พล.ร.ต.วินัยได้รับก็คือ คำสั่งให้หุบปากจากหน่วยงานต้นสังกัด ทั้งโดยตรงคือกองทัพเรือและทางอ้อมคือกองบัญชาการกองทัพไทย ตลอดรวมถึงกระทรวงกลาโหม
พล.ร.ต.กาญจน์ ดีอุบล เลขานุการกองทัพเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงพล.ร.ต.วินัยว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับภาพรวมของกองทัพเรือ ทั้งนี้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้มีการสั่งการไปยังหน่วยขึ้นตรงของกองทัพเรือว่า กำลังพลคนใดที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ควรออกมาแสดงความคิดเห็น เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้อยู่ในช่วงละเอียดอ่อน หากมีการให้สัมภาษณ์อาจมีผลกระทบต่อภาพโดยรวม พร้อมยืนยันว่า การให้สัมภาษณ์ของ พล.ร.ต.วินัย เป็นเรื่องส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ผบ.ทร.ไม่ได้มีการตักเตือน พล.ร.ต.วินัย โดยตรง แต่ได้มีการเน้นย้ำและตักเตือนกำลังพลของกองทัพเรือในการแสดงความคิดเห็นทางการ เมือง ให้ระมัดระวังในการให้สัมภาษณ์ และยืนยันว่า ทางกองทัพเรือยังเป็นกองทัพของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน รวมถึงมีความเป็นกลางทางการเมือง
กล่าวสำหรับ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์เมื่อตรวจสอบเส้นทางชีวิตและประวัติการทำงานก็จะพบว่า มีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะ พล.ร.ต.วินัยนอกจากจะจบหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจมในประเทศไทยแล้ว ยังจบ หลักสูตร UNDER DEMO/SEAL INDOC,UNWTR DEMOL/SEAL TRNG : สหรัฐอเมริกา อีกด้วย ซึ่งถือว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขณะที่การทำงานก็อยู่ในหน่วยรบเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ(นสร.)
ทั้งนี้ ถ้าสังเกตการณ์แต่งกายของ พล.ร.ต.วินัยจะเห็นว่า หน้าอกด้านซ้ายจะมีเครื่องหมาย “ฉลามคู่บนเกลียวคลื่น” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่จบหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม(UDT-Underwater Demolition Team) ของไทย ขณะที่หน้าอกด้านขวาจะติดเครื่องหมาย เข็ม สีทอง ซึ่งเป็นรูป “นกอินทรีคีบสามง่าม ปืน และตราสมอของทหารเรือ” อันเป็นเครื่องหมายหน่วย SEAL ของสหรัฐอเมริกา
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทหารจะได้รับเกียรติยศแบบนี้ เพราะในมวลหมู่ทหารกล้าเป็นที่รับรู้ว่า หลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจมนั้น เป็นการฝึกที่สุดแสนหฤโหด ด และต้องใช้ทั้งหัวใจ ตลอดรวมถึงเลือดเนื้ออันแข็งแกร่งกว่าจะได้มาซึ่งเครื่องหมายนี้
กล่าวเฉพาะสำหรับการฝึกหน่วยซีลของไทยนั้น นอกจากจะเป็นหลักหลักสูตรทางทหารที่มีระยะเวลายาวนานที่สุดของไทยคือประมาณ 7-8 เดือน แล้ว ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักสูตรที่โหด แกร่ง ท้าทายและหนักที่สุดในบรรดาหลักสูตร “หน่วยรบพิเศษ” ของกองทัพไทย เพราะต้องผ่านการฝึกทั้งบนบน บนน้ำ ใต้น้ำและบนอากาศ
14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 พล.ร.ต.วินัยได้ให้สัมภาษณ์ “หนังสือพิมพ์คมชัดลึก” โดย “ไตรเทพ ไกรงู” ซึ่งถือเป็นบทสัมภาษณ์ที่ทำให้ได้ทราบถึงตัวตนของนายทหารเรือผู้นี้มากขึ้น
เสธ.วินัย บอกว่า กว่าจะขึ้นมาเป็น ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ นอกจากความสามารถแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้และทำมาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตรับการทหารเรือคือ ทุกครั้งที่มีวาระที่จะได้เลื่อนตำแหน่งต้องไปบนบานศาลกล่าวขอพรกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งประสบความสำเร็จตามที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ทุกครั้ง และเมื่อได้ตามที่อธิษฐานขอไว้ก็ต้องไปแก้บน มีทั้งการถวาย หมาก พลู ดาบ รวมทั้งการยิงปืนถวาย 19 นัด
“นอกจากนี้แล้วในสมัยที่เป็นนักเรียนสามัญ แม่เคยไปบนขอกับกรมหลวงชุมพรฯ เพื่อให้สอบได้ ด้วยความเป็นในครั้งนั้นไม่เชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของท่านใดๆ เลย ไม่คิดว่าการมาไหว้และบนบานศาลกล่าวกับกรมหลวงชุมพรฯ แล้วจะทำให้สอบได้ ยอมรับว่าขอไปอย่างนั้นเพราะแม่พาไป โดยขอเพียงเรื่องเดียวคือ ขอให้ได้เป็นทหารเรือ เมื่อได้เป็นแล้วขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่น่าเชื่อเลยว่าคำอธิษฐานครั้งนั้นจะเป็นจริง”พล.ร.ต.วินัยเล่าให้ฟัง
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า นอกจากกรมหลวงชุมพรฯ แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคือพระมหากษัตริย์ที่ พล.ร.ต.วินัยเทิดทูนสุดหัวใจ ซึ่งถ้าหากใครไปที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ก็จะเห็นพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประทับยืนในลักษณะทรงบัญชาการรบที่ พล.ร.ต.วินัยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการสร้างประดิษฐานอยู่
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมในวันที่ประชาชนเดินทางไปให้กำลังใจ พล.ร.ต.วินัยถึงได้มอบเหรียญพระสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รุ่นชนะศึกให้ทุกคน
“ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องวิญญาณก็ตาม แต่โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าวิญญาณนั้นมีจริง โดยเฉพาะดวงพระวิญญาณของอดีตบูรพมหากษัตริย์ที่เป็นนักรบในอดีต ไม่ว่าจะเป็นดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ด้วยพระวิญญาณของกรมหลวงชุมพรฯ (เสด็จเตี่ยฯ) ดวงพระวิญญาณของเสด็จพ่อ ร.5 ฯลฯ ดวงพระวิญญาณเหล่านี้ยังคอยปกปักรักษาแผ่นดินไทยอยู่”พล.ร.ต.วินัยกล่าว
และทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวบางส่วนบางตอนของ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้ที่ประกาศตัวชัดเจนโดยไม่เกรงกลัวว่าเป็นทหารของพระราชาและทหารของประชาชน