ส.ว.กทม.ย้อน สภา ปชช.เหล่าทัพ นายกฯ ดูแล ปชช.ไม่ไว้ใจ “นช.แม้ว” ชักใย งัดคลิปถั่งเช่ามีอิทธิพลดันล้างผิด ลุอำนาจผ่านสภา แลกประโยชน์กลืนกองทัพ ไม่มีใครแจง ดัก “ปู” ตีมึนไม่ได้ ให้นช.คุมกองทัพควบรัฐ รับหนักกว่าคดีวอเตอร์เกต ใช้พิธีกรรมเลือกตั้งคุมอำนาจ ยกชาติสอบเข้มแข็งไม่ลอยหน้าในตำแหน่ง แนะขจัดระบอบแม้ว ผู้นำกองทัพปชช.ต้องไว้ใจ ปฏิรูปเลือกตั้ง เตือนโจรติดสินบนได้ ปชช.อยู่ยังไง ชู ปชช.ลุกขึ้นสู้คำปรามาสคลิปถั่งเช่า
วันนี้ (23 ธ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา กทม. โพตส์เฟซบุ๊กเป็นจดหมายเปิดผนึกถึงผู้นำในกระทรวงกลาโหม (รมว.กลาโหม, ผบ.สส., ปลัดกระทรวงกลาโหม, ผบ.ทบ., ผบ.ทร.,ผบ.ทอ.) ฉบับที่ 6 มีใจความว่า “สืบเนื่องจากข่าวการประชุมของสภากลาโหมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา มีการนำเสนอโดยฝ่าย ผบ.เหล่าทัพให้มีการตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมาโดยยังมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมรักษาการเป็นผู้กำกับดูแล ทั้งที่ในขณะนี้ประชาชนไม่มีความไว้วางใจในตัวของนายกรัฐมนตรีรักษาการ และที่สำคัญที่สุดของความไม่ไว้วางใจคือการมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังในการกุมบังเหียนรัฐบาลและมีอิทธิพลต่อผู้นำเหล่าทัพในกองทัพไทย
สิ่งที่ยังค้างคาใจสังคมไทยมาถึงทุกวันนี้ คือ เสียงพูดคุยของชาย 2 คนในเทปเสียงที่รู้จักกันในชื่อ “คลิปถั่งเช่า” ที่ปรากฏต่อสังคมเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2556 นี้เอง เสียงพูดคุยในเทปเสียงนั้นเป็นการพูดถึงการวางแผนที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านโดยอาศัยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม และอาศัยสภากลาโหมเป็นที่รองรับดังความตอนหนึ่งว่า
“ชายคนที่ 1- ผมจะเอาเข้าสภากลาโหมเพื่อหารือให้ ผบ.เหล่าทัพทุกเหล่าทัพมีความคิดอันเดียวกันเลย ถ้าไม่งั้นถ้าไม่เข้า เดี๋ยวคนนั้นพูดทีคนนี้พูดที วิธีเดียวก็คือขออนุญาตเอาเรื่องนี้เข้าสภากลาโหมเพื่อหารือให้เกิดเป็นความคิดอันเดียวกัน
ชายคนที่ 2 - เอาเข้าสิ เอาเข้าสภาความมั่นคงฯ ส่งให้รัฐบาล จบ ลัดขั้นตอนเลย
ชายคนที่ 1- จบเลย ครับ เอาเข้าได้ ก่อนที่จะเข้าก็ต้องหารือกับเหล่าทัพแต่ละคนก่อน เฮ้ย! ลื้ออ่านนะ มีอะไรที่จะแก้ไข มีอะไรที่จะพูด พูดกันนอกการประชุมเสียก่อน
ชายคนที่ 2 - เราเสนอเป็น พ.ร.บ. ไม่มีใครรู้ แต่พอถึงสภาความมั่นคงฯ ปุ๊บเนี่ย เราก็ เพื่อความไม่วุ่นวายเสนอเป็น พ.ร.ก.
ชายคนที่ 1- เพราะว่า ไอ้วาระนี้ ถ้าผมได้อยู่นะครับ ได้ทำ ผมจะไม่เอาเข้าวาระ แต่เป็นวาระที่ จรเข้าไปเลย บอกว่า ขอเสนอวาระสำคัญ
ชายคนที่ 2 - ในสภากลาโหมนี่ ก็ใช้วิธีว่า เอ้ย! สภาความมั่นคง ก็ใช้วิธีเข้าไปเสร็จปุ๊บ เนี่ย หน้าตาเป็น พ.ร.บ. และก็ในสภากลาโหมก็ไม่ต้องออกข่าว แต่บอกให้รู้ว่า ถ้าเพื่อความรวดเร็ว และไม่วุ่นวาย น่าจะเป็น พ.ร.ก. อะไรอย่างนี้ พูดไว้ บันทึกไว้ พอไปถึงสภาความมั่นคงปั๊บ พอเข้าไป บอกว่าเสนอเป็น พ.ร.บ. หน้าตาเป็น พ.ร.บ. นะ แล้วสภาความมั่นคงก็บอกว่า ขอให้รัฐบาลเสนอออกเป็น พ.ร.ก. มันจะได้มีอะไรรองรับ”
น.ส.รสนาระบุต่อว่า แผนการที่มีการพูดคุยกันในคลิปเสียงได้ปรากฏเป็นจริง เป็นกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่งสุดซอยที่นิรโทษความผิดทุกคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตทั้งของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองทุจริตตลอดระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่มกราคม 2547 - 8 สิงหาคม 2556 และผ่านสภาผู้แทนราษฎรในเวลาตี 4 ครึ่ง ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งเป็นการกระทำที่เหิมเกริมในอำนาจเสียงข้างมากของรัฐบาล “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ที่คุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และกำลังเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อรุกคืบมากลืนกินกองทัพ ดังคำพูดในคลิปเสียงของชายคนที่ 2 ที่ได้พูดถึงว่า ถ้าออกกฎหมายนิรโทษกรรมแล้วก็ไม่กลัวคนต่อต้าน ขอเพียงแต่ทหารไม่ปฏิวัติก็พอแล้ว และชายคนที่ 1 ในคลิปเสียงก็เสนอแผนการว่า ต้องไปเอาทหารไว้ก่อน จะได้ไม่ปฏิวัติ โดยมีการระบุไว้ว่า บรรดา ผบ.เหล่าทัพทั้งหมดจะเกษียณในปี 2557 ดังคำพูดในคลิปเสียงว่า
“ชายคนที่ 2 - ก็ ปีหน้าก็เกษียณหมด 57
ชายคนที่ 1 - พอ 57 ก็เนี่ย
ชายคนที่ 2 - เกลี้ยงทุกเหล่า
ชายคนที่ 1 - ตั้งเอาเองเลย ไม่ต้องนั่นเลย
ชายคนที่ 2 - เลือกเอาเองสบายๆ
ชายคนที่ 1 - ผมก็บอกมันนะครับ ผบ.สูงสุด กับ ผบ.ทบ. ผมเพิ่งบอก เฮ้ยปี 57 นี่นะ อย่างอั๊วเลิกทำงานนะ อั๊วคิดว่าอั๊วทำงานเสร็จแล้ว เอาเจ้านายอั๊วกลับแล้ว คราวนี้ต้องตาลื้อบ้างสิ เพราะฉะนั้นลื้อต้องแสดงฝีมือให้ท่านเห็น ตั้งแต่วันนี้ลื้อต้องแสดงฝีมือให้ท่านเห็น แล้วพอปี 57 เอ็งจะได้มีงานทำต่อ ไม่ต้องอยู่แก่เหมือนคนอื่นเขา เพราะมันว่าผมไม่แก่ ผมบอกจะได้ทำงานอย่างนี้ต่อ มันก็แฮปปี้นะครับ มันไม่ได้บอกว่าโนเลย มันก็ เออๆ มันก็เริ่มมองเห็นว่า หลังจากเกษียณไปแล้ว มันอาจจะมีอนาคต สำคัญ”
น.ส.รสนาระบุว่า คำพูดดังกล่าวหากเป็นจริง ก็เป็นการคอร์รัปชันที่ร้ายแรงในกองทัพไทย และเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างสูงสุด เพราะกองทัพเป็นของประชาชน ผู้เสียภาษีบำรุงกองทัพ ไม่ใช่เป็นกองกำลังของนักการเมืองตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แต่จากเดือนมิถุนายน จนถึง วันนี้ ยังไม่การออกมาชี้แจง หรือการออกมาแถลงปฏิเสธของ ผบ.เหล่าทัพที่ถูกกล่าวอ้าวถึงในคลิปเสียงนั้นเลยว่า แผนการที่พูดถึงในคลิปเสียงนั้นเป็นเรื่อง “จริง หรือเท็จ”
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศที่มีประชาธิปไตยก้าวหน้ากว่าประเทศไทย นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม รองนายกรัฐมนตรีกลาโหม และรัฐบาลอยู่ไม่ได้แล้ว รวมถึงบรรดา ผบ.เหล่าทัพต้องถูกสอบสวนทั้งหมดว่าแผนร้ายในคลิปเสียงนั้นเป็นจริงหรือไม่ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบว่าไม่รู้ไม่เห็นได้ เพราะแผนการร้ายในการยึดกองทัพก็เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ นั้นระบุชัดเจนว่านายกฯยิ่งลักษณ์รับรู้จากการรายงานตลอดเวลา ตัวอย่างเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ คือ คดีวอเตอร์เกต ที่นายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถูกอัดคลิปเสียงแบบนี้ ทำให้ได้รู้ถึงการสั่งการให้มีการดักฟังเสียงของคู่แข่งทางการเมือง คดีวอเตอร์เกตอันฉาวโฉ่ทำให้นายนิกสันต้องลาออกจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะถูกถอดถอน
น.ส.รสนาระบุต่อว่า หากเปรียบเทียบความร้ายแรงของคลิปถั่งเช่า กับคดีวอเตอร์เกต ต้องบอกว่าคลิปถั่งเช่ามีความร้ายแรงกว่า เพราะได้บอกถึงแผนการยึดกองทัพของนักการเมือง และการติดสินบนผู้บริหารระดับสูงของเหล่าทัพ ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตย ดังที่คำสนทนาในคลิปได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าภายในปี 2557 จะสามารถคุมกองทัพทั้งหมดอยู่ในมือของนักโทษหนีคุกได้อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อผนวกกับการที่รัฐบาลหุ่นเชิดของน้องสาวนักโทษหนีคุกสามารถคุมเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติ ทำให้มีความเหิมเกริมในอำนาจเสียงข้างมากของตนเอง ดังปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนในการเสนอและผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมคดีทุจริตคอรัปชั่นของนักโทษหนีคุก และนักการเมืองในเครือข่ายของตน และยังได้เสนอกฎหมายอีกหลายฉบับเพื่อกระชับอำนาจของฝ่ายการเมืองอยู่ในมือ
น.ส.รสนาระบุอีกว่า การที่ระบอบทักษิณที่เข้าสู่อำนาจทางการเมืองโดยใช้พิธีกรรมการเลือกตั้งในระบบการเลือกตั้งที่เป็นการขายตรงทางเมือง อาศัยประชานิยม และอุปถัมน์นิยมเป็นเครื่องมือ สามารถควบรวมอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตำรวจ อำนาจทางเศรษฐกิจ และกำลังจะควบรวมอำนาจของกองทัพเข้ามาอยู่ในมือ ซึ่งคือการควบรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จโดยอาศัยพิธีกรรมเลือกตั้งที่เร่งรัดให้มีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ในประเทศที่มีการตรวจสอบที่เข้มแข็ง และผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งที่มีความตื่นตัวอย่างสูง และสื่อที่ทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น หัวหน้ารัฐบาล และผู้นำเหล่าทัพไม่สามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้โดยไม่ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น แต่ในประเทศไทยที่กลไกการตรวจสอบอ่อนแอ มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง และข้าราชการตกต่ำ ทำให้คนเหล่านี้ลอยนวลอยู่ได้อย่างมีหน้ามีตาในสังคม
น.ส.รสนาระบุว่า ถ้าต้องการให้การเลือกตั้งเป็นทางออกที่ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาการเข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ และการใช้อำนาจรัฐอย่างฉ้อฉลของนักการเมือง สิ่งที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนก่อนการเลือกตั้ง คือ
1) ต้องขจัดอิทธิพลของระบอบทักษิณออกจากการเมืองไทย โดยเหตุผลจากแผนการร้ายที่จะยึดกองทัพเพื่อประโยชน์ของตนเอง ที่ปรากฎในบทสนทนาในคลิปถั่งเช่า นายกรัฐมนตรีรักษาการจะต้องลาออก เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ดูแลการเลือกตั้ง และเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือมีบทบาททางการเมืองในการจัดตั้งสภาปฏิรูป หรือสภาประชาชนดังที่ผู้นำเหล่าทัพได้นำเสนอ
2) ผู้นำกองทัพต้องดำรงตนอยู่ในความไว้วางใจของประชาชน เพื่อรักษาสถาบันกองทัพในการรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ให้ตกเป็นกองกำลังส่วนตัวของนักการเมือง ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังกล่าว จึงเห็นสมควรให้มีการปฏิรูปกองทัพที่ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซง แต่งตั้งโยกย้าย ติดสินบนนายทหารระดับสูงเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองก่อนการเลือกตั้ง
3) ปฏิรูประบบการเลือกตั้งโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจเข้ามารื้อสร้างระบบ กลไกการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพในการคัดเลือกคนดี มีความสามารถเข้าสู่สภา เพื่อไม่ให้การเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรมที่ให้นักเลือกตั้งเข้ามาลงทุนและถอนทุนในธุรกิจการเมืองอีกต่อไป
ส.ว.กทม.ระบุทิ้งท้ายว่า พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นเจ้าของบ้าน ในขณะที่ทหารตำรวจคือ รปภ. มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าของบ้าน หากมีโจรหรืออาชญากรเข้ามาติดสินบน รปภ. ได้สำเร็จ เจ้าของบ้านจะอยู่อย่างปลอดภัยและร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างไร สิ่งที่ชายคนที่ 2 ในคลิปถั่งเช่าได้กล่าวปรามาสว่า ไม่กลัวประชาชนมาต่อต้าน ขอเพียงให้ทหารอยู่ข้างชายคนที่ 2 ก็จบแล้ว
“มาบัดนี้ประชาชนเจ้าของบ้านได้ลุกขึ้นมาลบคำปรามาสนั้นแล้ว และจะออกมาปกบ้านป้องเมือง และปกป้องกองทัพและตำรวจให้ดำรงตนอยู่ในหน้าที่อย่างมีวินัยและซื่อสัตย์สุจริต ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง และทำร้ายประเทศ โดยผ่านระบบการเลือกตั้งที่อ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับอำนาจอันทรงอิทธิพลของนักลงทุนทางการเมืองดังที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลานี้”
คลิกฟังคลิปเสียงตอนที่ 1
คลิกฟังคลิปเสียงตอนที่ 2
คลิกฟังคลิปเสียงตอนที่ 3