**ตื๊อเอาจนได้!!
ตามคิวที่รัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หักดิบเหล่าทัพด้วยการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อคุม“ม็อบนกหวีด”ของ “กำนันเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ที่กำลังชัตดาวน์กรุงเทพฯ อย่างเข้มข้น
หลังจากงอนง้ออ้อนวอนมานานแสนนาน เพื่อให้ผบ.เหล่าทัพ ช่วยร่วมประทับตรา ยกระดับจากพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลายครั้งหลายครา จนโดนตอกหน้ามาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน โดยเฉพาะ“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ประกาศมาตลอดว่า สถานการณ์ยังไม่ถึงจุดนั้น
แต่ถึงจะประกาศใช้ได้ในที่สุด กระนั้นสัญญาณที่ออกมามันก็ชัดว่า ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้เต็มใจ หรือสมยอมให้รัฐบาลรักษาการงัดกฎหมายติดดาบมาใช้กับผู้ชุมนุม เพราะวันประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีร่างเงาของบิ๊กในกองทัพมาร่วมเลย
ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) “บิ๊กตู่”ผบ.ทบ. และ “บิ๊กเข้”พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ร่วมอยู่ในวง โดยแต่ละคนล้วนส่งตัวแทนมาร่วมประชุมทั้งนั้น
ทั้งๆ ที่งานใหญ่ระดับประกาศใช้กฎหมายติดดาบ ควรมีผบ.เหล่าทัพ ร่วมเคาะผล เพื่อให้ทุกอย่างรอบคอบที่สุด
ขณะที่ “บิ๊กจิน”พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ที่แหกโผเข้าไปร่วมประชุมด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่า เออออห่อหมก กับผลการประชุมดังกล่าว แต่ด้วยเพราะรัฐบาลรักษาการ ดันมาอาศัยชายคากองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) เป็นสถานที่ประชุม
ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ และผู้ใต้บังคับบัญชาของ รมว.กลาโหม โดยตำแหน่งของ “ยิ่งลักษณ์”ก็เลยต้องรักษามารยาทเอาไว้ ไม่ให้น่าเกลียด ในฐานะเจ้าของสถานที่ ที่จวนตัว
**นอกจากการที่ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้ตบเท้าเข้าร่วมสังฆกรรมในครั้งนี้ด้วย อีกจุดที่ตอกย้ำความพิกลพิการของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับนี้ได้ดีคือ โครงสร้างศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศรส.) หรือ สถานะเดียวกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไม่ให้ซ้ำกับของเก่า ที่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ แทนเจ้าหน้าที่ทหาร
แม้รัฐบาลรักษาการพยายามจะชักแม่น้ำทั้งห้า มาอ้างว่า การใช้ตำรวจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นอารยะสากล แต่ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่า เป็นเพราะเหล่าทัพไม่เอาด้วย และไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น
ขณะที่ “ผอ.ศรส.”ที่เป็นหัวเรือ.ใหญ่ ในการดูแลม็อบ กปปส. ครั้งนี้ ซึ่งเดิมจะต้องเป็นผู้มีบารมี เชี่ยวชาญทางด้านการเมือง หรือความมั่นคง หรือจะเป็นรองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลรับผิดชอบด้านความมั่นคง แต่คราวนี้รัฐบาลกลับใช้บุคคลที่แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงเลย อย่าง “ขี้ข้า”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน
** ตามรายงานว่ากันว่า “จับกัง 1” เสนอหน้าขันอาสาสวมหัวโขนนี้เองเลย
งานนี้แทนที่ “ม็อบนกหวีด”จะขนลุกขนพองสยองขวัญกับกฎหมายติดดาบ กลับกัน ยิ่งสร้างแรงฮึกเหิมให้คึกคึกหนักขึ้นกว่าเก่า โดยเฉพาะ “กำนันเทือก” ที่พอทราบผล หัวเราะร่า ท้องแข็ง รีบขึ้นเวทีประกาศก้องเลยว่า มาตรการไหนที่ ศรส. ห้ามเอาไว้ จะแหกด่านมันเสียให้หมด
ส่วนอารมณ์มวลชน กปปส. ยิ่งครึกครื้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หนำซ้ำจะยิ่งทวีปริมาณมวลชน เพราะ “ขี้ข้าเหลิม”นี่แหละตัวเรียกแขกชั้นยอด
กลายเป็นรัฐบาลที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเสียเอง
เอาเฉพาะวันแรกที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้ เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา แทนที่ “ม็อบนกหวีด”จะผวานอนอยู่ในที่ตั้ง แต่กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า เล่นยกพลบุกไปที่ทำการ ศรส. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี กันตั้งแต่เช้า ทำเอาบรรดาเสนาบดีในรัฐบาลรักษาการ เผ่นแน่บไม่เห็นฝุ่น
โดยเฉพาะ “ยิ่งลักษณ์”ที่เตลิดไม่เห็นเงา ก่อนสุดท้ายจำเป็นต้องพึ่งใบบุญทหาร ออกมารับหน้าช่วยเจรจากับแกนนำ กปปส.ให้
ด้าน“ผอ.ศรส.”อย่าง “ขี้ข้าเหลิม”ที่จำเป็นต้องเป็นหัวหลักหัวตอ นั่งอยู่ในศูนย์ ในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาตั้งแต่เช้า เพราะหัวหด หอบคณะทำงานหนีไปประชุมที่กระทรวงแรงงาน เรียบร้อย
**เรื่องนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เพราะหนีหัวซุกหัวซุน
สำหรับบรรยากาศภายใน ศรส. หลังจากม็อบเลิกรากลับไปสู่ที่ตั้ง ก็เงียบเหงา วังเวง เหมือนกับบ้านร้าง ไม่น่าเกรงขามเหมือนสมัย ศอฉ.ของ “กำนันเทือก” ที่เป็น ผอ.คุมกำลังปราบม็อบเผาเมือง
“สงบ”เหมือนกับชื่อศูนย์เป๊ะ
กระนั้นก็ตาม จะมองข้ามเสียทีเดียวว่า เป็นพวกทีมงานไร้น้ำยาเลยก็ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบา กล้าตัดสินใจงัดกฎมายติดดาบมาใช้ ทั้งๆ ที่สถานการณ์โดยรวมในประเทศยังไม่ยกระดับไปถึงขั้นเหมือนการชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง ของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553
หมากในกระดานนี้เลยน่าสนใจว่า บางทีอาจมีลับ ลวง พราง จากฝ่ายรัฐบาลรักษาการซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการตั้งใจประกาศ เพื่อเร้าสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้น เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง
เพราะนาทีนี้ต้องยอมรับสภาพว่า รัฐบาลรักษาการไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะบริหารประเทศได้ต่อไป หรือกลายเป็น “รัฐล้มเหลว”เรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ยังหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้ จะยอมถอยก็กลัวจะถูกตามไล่เช็กบิล ไม่จบไม่สิ้น จนบางที “ตระกูลชิน”อาจจะสูญพันธุ์จากการเมืองไทย
เลยต้องเลือกวิธีเดินหน้าเพื่อวัดใจกับ “จุดเปลี่ยน”ในอนาคต ด้วยการแล่นสู่วันลงคะแนนเลือกตั้ง และยกระดับกฎหมาย ทั้งที่รู้ว่า กลิ่นคาวเลือดกำลังลอยโชยมา
**จนบางทีผิดสังเกตว่า รัฐบาลจงใจให้สถานการณ์มันไปสู่จุดปรอทแตกเสียเอง
สอดรับกับที่บรรดาพวกลิ่วล้อในองคายพซีกรัฐบาล โดยเฉพาะแกนนำคนเสื้อแดง ออกมาสร้างกระแส เขย่าขวัญพวกเดียวกันว่า ทหารเตรียมจะ“ปฏิวัติ”อย่างต่อเนื่อง
พล่ามกันจนดูเหมือนอยากให้เกิดเร็วๆ เสียอย่างนั้น
เพราะวันนี้หากมองว่า ใครได้ประโยชน์จากการ “ปฏิวัติ”ก็เป็นพวกรัฐบาลที่ได้ประโยชน์เต็มๆ แม้จะถูกยึดอำนาจจากทหารก็ตาม
ต้องไม่ลืมว่า “น.ช.แม้ว”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจควบคุมสั่งการได้ขนาดนี้ ก็มาจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ครั้งนั้น ที่คนเสื้อแดงมองว่า เป็นผู้ถูกรังแก จนออกมาเรียกร้องให้
เช่นเดียวกัน กับครั้งนี้ ที่ “ยิ่งลักษณ์”ที่มีภาพความเป็นหญิงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม หากโดน“ปฏิวัติ”จะยิ่งทำให้ได้รับคะแนนสงสารมากขึ้นกว่าเก่า และอาจจะมากกว่าพี่ชายตัวเองอีกด้วย
ที่สำคัญ กองกำลังเสื้อแดง จะมีข้ออ้างออกมาสร้างความวุ่นวายโกลาหลได้อีกครั้งอย่างชอบธรรม ในฐานะผู้ต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร
ความได้เปรียบจะไหลไปที่อยู่ฟากฝั่ง “น.ช.แม้ว”ทันที
ขณะที่“กปปส.”ก็ทราบถึงจุดนี้ ถึงเรียกร้องให้ทหารอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติเอง เพราะจะสามารถขจัดระบอบทักษิณได้ราบคาบกว่า
** จับตาดูสถานการณ์ต่อจากนี้แล้วกัน เกมยั่วของรัฐบาลกำลังจะบังเกิด
ตามคิวที่รัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หักดิบเหล่าทัพด้วยการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อคุม“ม็อบนกหวีด”ของ “กำนันเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ที่กำลังชัตดาวน์กรุงเทพฯ อย่างเข้มข้น
หลังจากงอนง้ออ้อนวอนมานานแสนนาน เพื่อให้ผบ.เหล่าทัพ ช่วยร่วมประทับตรา ยกระดับจากพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลายครั้งหลายครา จนโดนตอกหน้ามาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน โดยเฉพาะ“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ประกาศมาตลอดว่า สถานการณ์ยังไม่ถึงจุดนั้น
แต่ถึงจะประกาศใช้ได้ในที่สุด กระนั้นสัญญาณที่ออกมามันก็ชัดว่า ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้เต็มใจ หรือสมยอมให้รัฐบาลรักษาการงัดกฎหมายติดดาบมาใช้กับผู้ชุมนุม เพราะวันประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีร่างเงาของบิ๊กในกองทัพมาร่วมเลย
ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) “บิ๊กตู่”ผบ.ทบ. และ “บิ๊กเข้”พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ร่วมอยู่ในวง โดยแต่ละคนล้วนส่งตัวแทนมาร่วมประชุมทั้งนั้น
ทั้งๆ ที่งานใหญ่ระดับประกาศใช้กฎหมายติดดาบ ควรมีผบ.เหล่าทัพ ร่วมเคาะผล เพื่อให้ทุกอย่างรอบคอบที่สุด
ขณะที่ “บิ๊กจิน”พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ที่แหกโผเข้าไปร่วมประชุมด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่า เออออห่อหมก กับผลการประชุมดังกล่าว แต่ด้วยเพราะรัฐบาลรักษาการ ดันมาอาศัยชายคากองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) เป็นสถานที่ประชุม
ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ และผู้ใต้บังคับบัญชาของ รมว.กลาโหม โดยตำแหน่งของ “ยิ่งลักษณ์”ก็เลยต้องรักษามารยาทเอาไว้ ไม่ให้น่าเกลียด ในฐานะเจ้าของสถานที่ ที่จวนตัว
**นอกจากการที่ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้ตบเท้าเข้าร่วมสังฆกรรมในครั้งนี้ด้วย อีกจุดที่ตอกย้ำความพิกลพิการของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับนี้ได้ดีคือ โครงสร้างศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศรส.) หรือ สถานะเดียวกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไม่ให้ซ้ำกับของเก่า ที่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ แทนเจ้าหน้าที่ทหาร
แม้รัฐบาลรักษาการพยายามจะชักแม่น้ำทั้งห้า มาอ้างว่า การใช้ตำรวจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นอารยะสากล แต่ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่า เป็นเพราะเหล่าทัพไม่เอาด้วย และไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น
ขณะที่ “ผอ.ศรส.”ที่เป็นหัวเรือ.ใหญ่ ในการดูแลม็อบ กปปส. ครั้งนี้ ซึ่งเดิมจะต้องเป็นผู้มีบารมี เชี่ยวชาญทางด้านการเมือง หรือความมั่นคง หรือจะเป็นรองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลรับผิดชอบด้านความมั่นคง แต่คราวนี้รัฐบาลกลับใช้บุคคลที่แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงเลย อย่าง “ขี้ข้า”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน
** ตามรายงานว่ากันว่า “จับกัง 1” เสนอหน้าขันอาสาสวมหัวโขนนี้เองเลย
งานนี้แทนที่ “ม็อบนกหวีด”จะขนลุกขนพองสยองขวัญกับกฎหมายติดดาบ กลับกัน ยิ่งสร้างแรงฮึกเหิมให้คึกคึกหนักขึ้นกว่าเก่า โดยเฉพาะ “กำนันเทือก” ที่พอทราบผล หัวเราะร่า ท้องแข็ง รีบขึ้นเวทีประกาศก้องเลยว่า มาตรการไหนที่ ศรส. ห้ามเอาไว้ จะแหกด่านมันเสียให้หมด
ส่วนอารมณ์มวลชน กปปส. ยิ่งครึกครื้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หนำซ้ำจะยิ่งทวีปริมาณมวลชน เพราะ “ขี้ข้าเหลิม”นี่แหละตัวเรียกแขกชั้นยอด
กลายเป็นรัฐบาลที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเสียเอง
เอาเฉพาะวันแรกที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้ เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา แทนที่ “ม็อบนกหวีด”จะผวานอนอยู่ในที่ตั้ง แต่กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า เล่นยกพลบุกไปที่ทำการ ศรส. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี กันตั้งแต่เช้า ทำเอาบรรดาเสนาบดีในรัฐบาลรักษาการ เผ่นแน่บไม่เห็นฝุ่น
โดยเฉพาะ “ยิ่งลักษณ์”ที่เตลิดไม่เห็นเงา ก่อนสุดท้ายจำเป็นต้องพึ่งใบบุญทหาร ออกมารับหน้าช่วยเจรจากับแกนนำ กปปส.ให้
ด้าน“ผอ.ศรส.”อย่าง “ขี้ข้าเหลิม”ที่จำเป็นต้องเป็นหัวหลักหัวตอ นั่งอยู่ในศูนย์ ในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาตั้งแต่เช้า เพราะหัวหด หอบคณะทำงานหนีไปประชุมที่กระทรวงแรงงาน เรียบร้อย
**เรื่องนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เพราะหนีหัวซุกหัวซุน
สำหรับบรรยากาศภายใน ศรส. หลังจากม็อบเลิกรากลับไปสู่ที่ตั้ง ก็เงียบเหงา วังเวง เหมือนกับบ้านร้าง ไม่น่าเกรงขามเหมือนสมัย ศอฉ.ของ “กำนันเทือก” ที่เป็น ผอ.คุมกำลังปราบม็อบเผาเมือง
“สงบ”เหมือนกับชื่อศูนย์เป๊ะ
กระนั้นก็ตาม จะมองข้ามเสียทีเดียวว่า เป็นพวกทีมงานไร้น้ำยาเลยก็ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบา กล้าตัดสินใจงัดกฎมายติดดาบมาใช้ ทั้งๆ ที่สถานการณ์โดยรวมในประเทศยังไม่ยกระดับไปถึงขั้นเหมือนการชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง ของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553
หมากในกระดานนี้เลยน่าสนใจว่า บางทีอาจมีลับ ลวง พราง จากฝ่ายรัฐบาลรักษาการซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการตั้งใจประกาศ เพื่อเร้าสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้น เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง
เพราะนาทีนี้ต้องยอมรับสภาพว่า รัฐบาลรักษาการไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะบริหารประเทศได้ต่อไป หรือกลายเป็น “รัฐล้มเหลว”เรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ยังหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้ จะยอมถอยก็กลัวจะถูกตามไล่เช็กบิล ไม่จบไม่สิ้น จนบางที “ตระกูลชิน”อาจจะสูญพันธุ์จากการเมืองไทย
เลยต้องเลือกวิธีเดินหน้าเพื่อวัดใจกับ “จุดเปลี่ยน”ในอนาคต ด้วยการแล่นสู่วันลงคะแนนเลือกตั้ง และยกระดับกฎหมาย ทั้งที่รู้ว่า กลิ่นคาวเลือดกำลังลอยโชยมา
**จนบางทีผิดสังเกตว่า รัฐบาลจงใจให้สถานการณ์มันไปสู่จุดปรอทแตกเสียเอง
สอดรับกับที่บรรดาพวกลิ่วล้อในองคายพซีกรัฐบาล โดยเฉพาะแกนนำคนเสื้อแดง ออกมาสร้างกระแส เขย่าขวัญพวกเดียวกันว่า ทหารเตรียมจะ“ปฏิวัติ”อย่างต่อเนื่อง
พล่ามกันจนดูเหมือนอยากให้เกิดเร็วๆ เสียอย่างนั้น
เพราะวันนี้หากมองว่า ใครได้ประโยชน์จากการ “ปฏิวัติ”ก็เป็นพวกรัฐบาลที่ได้ประโยชน์เต็มๆ แม้จะถูกยึดอำนาจจากทหารก็ตาม
ต้องไม่ลืมว่า “น.ช.แม้ว”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจควบคุมสั่งการได้ขนาดนี้ ก็มาจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ครั้งนั้น ที่คนเสื้อแดงมองว่า เป็นผู้ถูกรังแก จนออกมาเรียกร้องให้
เช่นเดียวกัน กับครั้งนี้ ที่ “ยิ่งลักษณ์”ที่มีภาพความเป็นหญิงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม หากโดน“ปฏิวัติ”จะยิ่งทำให้ได้รับคะแนนสงสารมากขึ้นกว่าเก่า และอาจจะมากกว่าพี่ชายตัวเองอีกด้วย
ที่สำคัญ กองกำลังเสื้อแดง จะมีข้ออ้างออกมาสร้างความวุ่นวายโกลาหลได้อีกครั้งอย่างชอบธรรม ในฐานะผู้ต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร
ความได้เปรียบจะไหลไปที่อยู่ฟากฝั่ง “น.ช.แม้ว”ทันที
ขณะที่“กปปส.”ก็ทราบถึงจุดนี้ ถึงเรียกร้องให้ทหารอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติเอง เพราะจะสามารถขจัดระบอบทักษิณได้ราบคาบกว่า
** จับตาดูสถานการณ์ต่อจากนี้แล้วกัน เกมยั่วของรัฐบาลกำลังจะบังเกิด