**ถ้าถามว่าในขณะนี้ใครอยากออกเทียบเชิญให้ทหารลากรถถังออกมาทำการยึดอำนาจ“รัฐประหาร”มากที่สุด ก็ขอฟันธงตรงนี้เลยว่า คือ “ยิ่งลักษณ์ และพี่ชายนักโทษหนีคดี”พร้อมด้วยขี้ข้าทั้งหลาย
เพราะหากปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามธรรมชาติที่กงล้อแห่งกรรมเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ หมุนไล่ล่ายิ่งลักษณ์ ชนิดหายใจรดต้นคอจนร้อนผ่าวไปทั้งตัว อยู่นิ่งไม่ได้ ไปโฟร์ซีซั่นก็ไม่ไหว ทำได้แต่ไปซุกปีกทหาร ทั้งทัพเรือ บก อากาศ ไปจนถึงสำนักงานกระทรวงกลาโหม
ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาฉีกยิ้มโชว์ตัวระริกระรี้ใส่กล้อง อันเป็นงานถนัดเหมือนในอดีต
การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน “ยิ่งลักษณ์”ข้อหาละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่ไม่รับฟังคำท้วงติงเกี่ยวกับความเสียหายในการดำเนินโครงการดังกล่าว มีพฤติกรรมละเลย ไม่ระงับหรือยับยั้ง อันอาจจะเป็นมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องนั้น
**เป็นหอกปักอก“ยิ่งลักษณ์” เฉือนเข้าที่หัวใจของระบอบทักษิณ ที่จะทำให้เกิดอาการพังทั้งกระดานได้ในเร็ววันนี้
ในอดีตที่นักโทษหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร ยังคงลอยหน้าลอยตาโกหกประชาชนโดยขาดความละอายต่อบาปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะในปี 2549 คนชั้นกลางมองเห็นปัญหาการทุจริตเชิงนโยบายที่มีความสลับซับซ้อนจนออกมาต่อต้าน แต่ในขณะเดียวกันความเหลื่อมล้ำทางข้อมูลระหว่างคนเมืองกับคนชนบทมีช่องว่างอย่างมาก ทำให้คนไทยมอง “ทักษิณ”ต่างกันคนละขั้วราวกับอยู่กันคนละโลก
เพราะโลกแห่งความเป็นจริงเล็งเห็นว่า“ทักษิณ”คือ “ซาตาน”แต่ภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นได้ทำให้“ทักษิณ”กลายเป็น “พ่อพระ”สำหรับคนจน
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตามมาด้วยการยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิการเมืองพวกผีบ้าน 111 เป็นเวลา 5 ปี การตัดสินคดีที่ดินรัชดาของศาลฎีกาฯ ที่ให้ ทักษิณ ติดคุกสองปี รวมไปถึงการยึดทรัพย์ที่ปล้นชาติไป 4.6 หมื่นล้านบาท จึงถูกปลุกปั่นให้ชาวบ้่่านหลงเชื่ออย่างง่ายดายว่า “ทักษิณถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์ และโทษทุกอย่างว่ามาจากผลพวงการรัฐประหาร”
แค่นี้ ทักษิณ ก็พ้นผิดเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาชาวบ้่าน คำโกหกของนักโทษหนีคดีและขี้ข้า มีความหมายมากกว่าคำตัดสินของศาลฎีกาฯ ที่เป็นศาลสูงสุดของประเทศ เพราะชาวบ้านเลือกที่จะเชื่อในแบบที่ตัวเองอยากเชื่อ มากกว่าที่จะพิจารณาจากข้อเท็จจริงจึงทำให้เกิดขบวนการแดงทั้งแผ่นดินอันนำมาซึ่งความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรงในบ้านเมืองขณะนี้
แต่ชะตากรรมของ “ยิ่งลักษณ์”ไปไกลกว่า พี่ชายนักโทษหนีคดีมากนัก เพราะในยุคทักษิณนั้นกระบวนการยุติธรรมตั้งต้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทั้งตำรวจ อัยการ และดีเอสไอ ไม่มีใครสามารถดำเนินคดีเอาผิดกับการทุจริตของ ทักษิณได้เลย เพราะจะถูกตัดตอนจากกระบวนการยุติธรรมตั้งต้น จนกระทั่งเรื่องไม่เข้าสู่การพิจารณาของศาล
แตกต่างจากกรณีของ “ยิ่งลักษณ์”ที่เข้ามาบริหารประเทศในภาวะที่ชาติสงบ เศรษฐกิจเข้มแข็ง ไร้ปัญหาเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง แต่เธอกลับบริหารทุกอย่างล้มเหลวหมดทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายประชานิยมที่เคยเป็นจุดแข็งอย่างยิ่งของระบอบทักษิณที่สืบทอดมาถึง“ยิ่งลักษณ์”กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ประชาชนได้เห็นธาตุแท้ของบริษัทการเมือง ที่มุ่งใช้เงินแผ่นดินซื้อเสียงประชาชนผลาญงบประมาณกับโครงการประชาล่มจม โกงกินอย่างมูมมาม โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย แถมยังท้าทายองค์กรอิสระ และกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างอุกอาจอีกด้วย
ที่สำคัญคือ ในระหว่างการบริหารงานที่ล้มเหลวของยิ่งลักษณ์นั้น เธอถูกยื่นร้องในหลายคดีควบคู่ไปด้วย ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามกระบวนการปกติ มิได้เป็นผลพวงใดๆ จากการรัฐประหารทั้งสิ้น หากจะมีผลพวงอะไรสักอย่างที่ทำให้ “ยิ่งลักษณ์”ประสบชะตากรรมเช่นนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็น “ผลพวงจากระบอบทักษิณ”ที่กำลังทำให้ ยิ่งลักษณ์ เข้าตาจนอยู่ในขณะนี้
**โครงการจำนำข้าวทำให้ ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และโครงการเดียวกันนี้จะทำให้ยิ่งลักษณ์ไม่เพียงพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่จะพ้นจากเส้นทางการเมือง บ่ายหน้าเข้าคุก เพราะอาจหนีไปต่างประเทศไม่ทันเหมือนที่พี่ชายนักโทษเคยรอดบ่วงกรรมไปได้
คำแถลงของ วิชา มหาคุณ ที่เปิดเผยว่า ในที่ประชุมของคณะอนุกรรมการบางคนได้มีความคิดที่จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับ ยิ่งลักษณ์ เลยหรือไม่ แต่ในเบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ให้ความเป็นธรรมกับ ยิ่งลักษณ์ ได้ชี้แจงก่อน นั่นหมายถึงว่า ข้อมูลที่ ป.ป.ช.มีอยู่ในขณะนี้นั้น มีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาแล้วเพียงแต่เปิดช่องตามขั้นตอนให้ ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงเพื่อป้องกันไม่ให้มีการปลุกปั่นว่า ป.ป.ช.ไม่ให้ความเป็นธรรม
**แต่บทสรุปให้เขียนติดข้างฝาไว้ได้เลยว่า ยิ่งลักษณ์ คือหนึ่งในขบวนการมอดข้าว ที่โกงกินกันอย่างมูมมามมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทย
และยังสร้างความฉิบหายให้กับอุตสาหกรรมข้าวไทยอย่างรุนแรงไปจนถึงกระทบกับชาวนาให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากการถูกรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ โกงเงินจำนำข้าวของชาวนาอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ประชาชนทั้งประเทศเห็น และสัมผัสได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนา ที่เป็นฐานเสียงหลักของบริษัทการเมืองทักษิณ ก็หูตาสว่างเพราะความเดือดร้อน กระทบถึงตัวจนลุกฮือขึ้นมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่พวกเขาเลือกมากับมือ ด้วยความหวังว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามคือ ชีวิตดิ่งเหว รายได้เลวลง ถูกผลักเข้่าไปอยู่ในดงหนี้ทั้งในและนอกระบบจนชีวิตใกล้วิบัติล้มละลาย
ปรากฏการณ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นทิ่มแทงระบอบทักษิณอย่างรุนแรง คือ ภาพชาวนาที่จะมาเดินร่วมกับ กำนันสุเทพ ในเมืองหลวงเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะทำให้ยุทธศาสตร์เรื่องชนชั้นที่ปั่นกระแสมาเป็นเวลายาวนานว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นที่รักของคนจนนั้น ถูกทำลายลงทันที เพราะความจริงจะปรากฏให้ทั่วโลกได้เห็นว่า รัฐบาลเพื่อไทยคือ ผู้ทำลายความเข้มแข็งของประชาชน โกงชาวนา สร้างหนี้ให้ชาวบ้าน
**ทางออกสำหรับ ยิ่งลักษณ์ ที่จะล้างมลทินทั้งหมดที่ทำตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมา จึงไม่มีทางใดที่จะง่ายเท่ากับการยั่วยุให้ทหารตะบะแตก ออกมาทำการรัฐประหาร หาใช่มีเป้าหมายที่การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ไม่ เพราะคนคิดชั่วอย่างสลับซับซ้อนแบบนักโทษหนีคดีทักษิณนั้น ย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า เลือกตั้งไปก็เจอทางตัน แต่อย่างน้อยในทางตันพรรคเพื่อไทย ก็ยังเป็นคนกุมอำนาจ
ยิ่งลากให้เกิดเลือกตั้งเลือด จนเกิดสงครามกลางเมือง หรือเหตุนองเลือดวุ่นวายไปทั่วประเทศ ก็ยิ่งเข้าทาง ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ที่ในขณะนี้หางเริ่มโผล่ให้เห็นแผนสำรองที่กำลังเดินหน้าอย่างเป็นระบบคือ การตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น”เพราะแทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ กลับมุ่งเพิ่มคู่ขัดแย้งระหว่างรัฐบาลต่อประชาชน และองค์อิสระเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ควบคู่ไปกับการโกหกระดับโลก ที่ ยิ่งลักษณ์ กล้าตอแหลสด ๆ กับบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ทำลายความชอบธรรมของผู้ชุมนุม กปปส. และองค์กรอิสระ เอาดีใส่ตัวว่าพยายามอดทน อดกลั้น ในการแก้ปัญหาเพื่อสร้างความชอบธรรมด้วยการอ้างว่า รัฐบาลคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภาแล้ว แต่ผู้ชุมนุมคือกลุ่มที่ต้องการทำลายประชาธิปไตยของประเทศ เพื่อปูทางรอในกรณีที่เกิดเหตุเลวร้ายที่สุดจน “ตระกูลชิน”ไม่สามารถใช้ชีวิตในแผ่นดินไทยได้
**มีความเป็นไปได้สูงที่ ยิ่งลักษณ์ จะหอบผ้าหอบผ่อนหนีตายตามพี่ชาย พร้อมประกาศตัวเป็น “รัฐบาลพลัดถิ่น” สานต่อแนวทางที่พี่ชายนักโทษเคยพยายามทำในปี 49 แต่ไม่สำเร็จ และเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ก็จะทำไม่สำเร็จเช่นเดียวกัน
เพราะหากปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามธรรมชาติที่กงล้อแห่งกรรมเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ หมุนไล่ล่ายิ่งลักษณ์ ชนิดหายใจรดต้นคอจนร้อนผ่าวไปทั้งตัว อยู่นิ่งไม่ได้ ไปโฟร์ซีซั่นก็ไม่ไหว ทำได้แต่ไปซุกปีกทหาร ทั้งทัพเรือ บก อากาศ ไปจนถึงสำนักงานกระทรวงกลาโหม
ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาฉีกยิ้มโชว์ตัวระริกระรี้ใส่กล้อง อันเป็นงานถนัดเหมือนในอดีต
การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน “ยิ่งลักษณ์”ข้อหาละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่ไม่รับฟังคำท้วงติงเกี่ยวกับความเสียหายในการดำเนินโครงการดังกล่าว มีพฤติกรรมละเลย ไม่ระงับหรือยับยั้ง อันอาจจะเป็นมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องนั้น
**เป็นหอกปักอก“ยิ่งลักษณ์” เฉือนเข้าที่หัวใจของระบอบทักษิณ ที่จะทำให้เกิดอาการพังทั้งกระดานได้ในเร็ววันนี้
ในอดีตที่นักโทษหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร ยังคงลอยหน้าลอยตาโกหกประชาชนโดยขาดความละอายต่อบาปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะในปี 2549 คนชั้นกลางมองเห็นปัญหาการทุจริตเชิงนโยบายที่มีความสลับซับซ้อนจนออกมาต่อต้าน แต่ในขณะเดียวกันความเหลื่อมล้ำทางข้อมูลระหว่างคนเมืองกับคนชนบทมีช่องว่างอย่างมาก ทำให้คนไทยมอง “ทักษิณ”ต่างกันคนละขั้วราวกับอยู่กันคนละโลก
เพราะโลกแห่งความเป็นจริงเล็งเห็นว่า“ทักษิณ”คือ “ซาตาน”แต่ภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นได้ทำให้“ทักษิณ”กลายเป็น “พ่อพระ”สำหรับคนจน
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตามมาด้วยการยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิการเมืองพวกผีบ้าน 111 เป็นเวลา 5 ปี การตัดสินคดีที่ดินรัชดาของศาลฎีกาฯ ที่ให้ ทักษิณ ติดคุกสองปี รวมไปถึงการยึดทรัพย์ที่ปล้นชาติไป 4.6 หมื่นล้านบาท จึงถูกปลุกปั่นให้ชาวบ้่่านหลงเชื่ออย่างง่ายดายว่า “ทักษิณถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์ และโทษทุกอย่างว่ามาจากผลพวงการรัฐประหาร”
แค่นี้ ทักษิณ ก็พ้นผิดเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาชาวบ้่าน คำโกหกของนักโทษหนีคดีและขี้ข้า มีความหมายมากกว่าคำตัดสินของศาลฎีกาฯ ที่เป็นศาลสูงสุดของประเทศ เพราะชาวบ้านเลือกที่จะเชื่อในแบบที่ตัวเองอยากเชื่อ มากกว่าที่จะพิจารณาจากข้อเท็จจริงจึงทำให้เกิดขบวนการแดงทั้งแผ่นดินอันนำมาซึ่งความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรงในบ้านเมืองขณะนี้
แต่ชะตากรรมของ “ยิ่งลักษณ์”ไปไกลกว่า พี่ชายนักโทษหนีคดีมากนัก เพราะในยุคทักษิณนั้นกระบวนการยุติธรรมตั้งต้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทั้งตำรวจ อัยการ และดีเอสไอ ไม่มีใครสามารถดำเนินคดีเอาผิดกับการทุจริตของ ทักษิณได้เลย เพราะจะถูกตัดตอนจากกระบวนการยุติธรรมตั้งต้น จนกระทั่งเรื่องไม่เข้าสู่การพิจารณาของศาล
แตกต่างจากกรณีของ “ยิ่งลักษณ์”ที่เข้ามาบริหารประเทศในภาวะที่ชาติสงบ เศรษฐกิจเข้มแข็ง ไร้ปัญหาเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง แต่เธอกลับบริหารทุกอย่างล้มเหลวหมดทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายประชานิยมที่เคยเป็นจุดแข็งอย่างยิ่งของระบอบทักษิณที่สืบทอดมาถึง“ยิ่งลักษณ์”กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ประชาชนได้เห็นธาตุแท้ของบริษัทการเมือง ที่มุ่งใช้เงินแผ่นดินซื้อเสียงประชาชนผลาญงบประมาณกับโครงการประชาล่มจม โกงกินอย่างมูมมาม โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย แถมยังท้าทายองค์กรอิสระ และกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างอุกอาจอีกด้วย
ที่สำคัญคือ ในระหว่างการบริหารงานที่ล้มเหลวของยิ่งลักษณ์นั้น เธอถูกยื่นร้องในหลายคดีควบคู่ไปด้วย ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามกระบวนการปกติ มิได้เป็นผลพวงใดๆ จากการรัฐประหารทั้งสิ้น หากจะมีผลพวงอะไรสักอย่างที่ทำให้ “ยิ่งลักษณ์”ประสบชะตากรรมเช่นนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็น “ผลพวงจากระบอบทักษิณ”ที่กำลังทำให้ ยิ่งลักษณ์ เข้าตาจนอยู่ในขณะนี้
**โครงการจำนำข้าวทำให้ ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และโครงการเดียวกันนี้จะทำให้ยิ่งลักษณ์ไม่เพียงพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่จะพ้นจากเส้นทางการเมือง บ่ายหน้าเข้าคุก เพราะอาจหนีไปต่างประเทศไม่ทันเหมือนที่พี่ชายนักโทษเคยรอดบ่วงกรรมไปได้
คำแถลงของ วิชา มหาคุณ ที่เปิดเผยว่า ในที่ประชุมของคณะอนุกรรมการบางคนได้มีความคิดที่จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับ ยิ่งลักษณ์ เลยหรือไม่ แต่ในเบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ให้ความเป็นธรรมกับ ยิ่งลักษณ์ ได้ชี้แจงก่อน นั่นหมายถึงว่า ข้อมูลที่ ป.ป.ช.มีอยู่ในขณะนี้นั้น มีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาแล้วเพียงแต่เปิดช่องตามขั้นตอนให้ ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงเพื่อป้องกันไม่ให้มีการปลุกปั่นว่า ป.ป.ช.ไม่ให้ความเป็นธรรม
**แต่บทสรุปให้เขียนติดข้างฝาไว้ได้เลยว่า ยิ่งลักษณ์ คือหนึ่งในขบวนการมอดข้าว ที่โกงกินกันอย่างมูมมามมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทย
และยังสร้างความฉิบหายให้กับอุตสาหกรรมข้าวไทยอย่างรุนแรงไปจนถึงกระทบกับชาวนาให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากการถูกรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ โกงเงินจำนำข้าวของชาวนาอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ประชาชนทั้งประเทศเห็น และสัมผัสได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนา ที่เป็นฐานเสียงหลักของบริษัทการเมืองทักษิณ ก็หูตาสว่างเพราะความเดือดร้อน กระทบถึงตัวจนลุกฮือขึ้นมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่พวกเขาเลือกมากับมือ ด้วยความหวังว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามคือ ชีวิตดิ่งเหว รายได้เลวลง ถูกผลักเข้่าไปอยู่ในดงหนี้ทั้งในและนอกระบบจนชีวิตใกล้วิบัติล้มละลาย
ปรากฏการณ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นทิ่มแทงระบอบทักษิณอย่างรุนแรง คือ ภาพชาวนาที่จะมาเดินร่วมกับ กำนันสุเทพ ในเมืองหลวงเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะทำให้ยุทธศาสตร์เรื่องชนชั้นที่ปั่นกระแสมาเป็นเวลายาวนานว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นที่รักของคนจนนั้น ถูกทำลายลงทันที เพราะความจริงจะปรากฏให้ทั่วโลกได้เห็นว่า รัฐบาลเพื่อไทยคือ ผู้ทำลายความเข้มแข็งของประชาชน โกงชาวนา สร้างหนี้ให้ชาวบ้าน
**ทางออกสำหรับ ยิ่งลักษณ์ ที่จะล้างมลทินทั้งหมดที่ทำตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมา จึงไม่มีทางใดที่จะง่ายเท่ากับการยั่วยุให้ทหารตะบะแตก ออกมาทำการรัฐประหาร หาใช่มีเป้าหมายที่การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ไม่ เพราะคนคิดชั่วอย่างสลับซับซ้อนแบบนักโทษหนีคดีทักษิณนั้น ย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า เลือกตั้งไปก็เจอทางตัน แต่อย่างน้อยในทางตันพรรคเพื่อไทย ก็ยังเป็นคนกุมอำนาจ
ยิ่งลากให้เกิดเลือกตั้งเลือด จนเกิดสงครามกลางเมือง หรือเหตุนองเลือดวุ่นวายไปทั่วประเทศ ก็ยิ่งเข้าทาง ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ที่ในขณะนี้หางเริ่มโผล่ให้เห็นแผนสำรองที่กำลังเดินหน้าอย่างเป็นระบบคือ การตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น”เพราะแทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ กลับมุ่งเพิ่มคู่ขัดแย้งระหว่างรัฐบาลต่อประชาชน และองค์อิสระเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ควบคู่ไปกับการโกหกระดับโลก ที่ ยิ่งลักษณ์ กล้าตอแหลสด ๆ กับบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ทำลายความชอบธรรมของผู้ชุมนุม กปปส. และองค์กรอิสระ เอาดีใส่ตัวว่าพยายามอดทน อดกลั้น ในการแก้ปัญหาเพื่อสร้างความชอบธรรมด้วยการอ้างว่า รัฐบาลคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภาแล้ว แต่ผู้ชุมนุมคือกลุ่มที่ต้องการทำลายประชาธิปไตยของประเทศ เพื่อปูทางรอในกรณีที่เกิดเหตุเลวร้ายที่สุดจน “ตระกูลชิน”ไม่สามารถใช้ชีวิตในแผ่นดินไทยได้
**มีความเป็นไปได้สูงที่ ยิ่งลักษณ์ จะหอบผ้าหอบผ่อนหนีตายตามพี่ชาย พร้อมประกาศตัวเป็น “รัฐบาลพลัดถิ่น” สานต่อแนวทางที่พี่ชายนักโทษเคยพยายามทำในปี 49 แต่ไม่สำเร็จ และเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ก็จะทำไม่สำเร็จเช่นเดียวกัน