ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ฟัน "บุญทรง-ภูมิ" กับพวก 15 ราย หลังพบไม่มีการขายข้าวจีทูจีจริง พร้อมเรียก "ยิ่งลักษณ์" ไต่สวนฐานเพิกเฉยจนก่อให้เกิดความเสียหาย "หมอวรงค์" งง "ปู"ไม่โดนแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกับ"บุญทรง" ทั้งที่ถูกร้องในคดีเดียวกัน ด้าน “บุญทรง” ร้องไม่ยุติธรรม อ้างยังไม่ได้ไปชี้แจง ส่วน ก.พาณิชย์ เดินหน้าระบายข้าว หลังจีทูจีแท้ง ขณะที่ชาวนาพิจิตร-เหนือล่าง ดีเดย์นัดรวมพลปิดล้อมศาลากลาง เพื่อเพื่อทวงเงินจำนำข้าววันนี้
วานนี้ (16 ม.ค.) มีการประชุมของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อพิจารณา เรื่องร้องเรียนการทุจริตจำนำข้าว ที่มีการซื้อขายแบบจีทูจี โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการ และโฆษก ป.ป.ช. ได้แถลงผลการพิจารณาว่า ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ พบว่าไม่มีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะไม่พบการส่งข้าวออกนอกราชอาญาจักร และมีมติเอกฉันท์แจ้งข้อหา นายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สารผล รมช.พาณิชย์ กับพวก 15 ราย
นายวิชา กล่าวต่อว่า ต่อไปนี้ป.ป.ช.เตรียมไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามอนุกรรมการไต่สวนเสนอ เพราะเป็นนโยบายรัฐบาล และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยับยั้งความเสียหายโดยใช้กรรมการไต่สวนชุดเดิม ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหา เป็นขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นการไต่สวนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ด้านนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช. สอบสวนโครงการทุจริตจำนำข้าว กล่าวถึงมติป.ป.ช.ที่ให้แจ้งข้อกล่าวหา นายบุญทรง นายภูมิ และพวกอีก 15 คน พร้อมกับตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำผิดมาตรา 157 ว่า ในภาพรวมรู้สึกพอใจมติของป.ป.ช. เพราะเป็นการตอกย้ำว่า โครงการนี้มีการทุจริตจริง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินจ่ายชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว
ส่วนกรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ถูกข้อหากระทำผิดตาม มาตรา 157 ก็รับได้ แต่รู้สึกว่าช้าเกินไป
"ผมแปลกใจว่า ได้ยื่นคำร้องให้ป.ป.ช.สอบทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบุญทรง ในคดีเดียวกัน แต่เหตุใดป.ป.ช. จึงแยกถูกกันออกมาจากกลุ่มของนายบุญทรง เหตุใดจึงไม่แจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปในคราวเดียวกันเลย แต่ถ้าดูภาพรวมก็ถือว่าดีแล้ว ดีกว่าที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่โดนข้อหาอะไรเลย" นพ.วรงค์ กล่าว
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณี ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายกฯ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวว่า ต้องขอดูรายละเอียดของหนังสือ ของป.ป.ช.ก่อน
ขณะที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามต่อสื่อมวลชนถึงเรื่องดังกล่าว
*** "บุญทรง" ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กรณีนี้ถือว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคณะอนุกรรมการป.ป.ช.ที่ไต่สวนเรื่องดังกล่าว ไม่ได้เรียกตนไปชี้แจงข้อเท็จจริง แล้วจะชี้มูลว่าตนมีความผิดทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับฟังการชี้แจงจากตนได้อย่างไร
ทั้งนี้ ตนต้องการถามป.ป.ช. มีมาตรฐานใดในการจัดลำดับคดี และการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงระหว่างคดีของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เหตุใดป.ป.ช.จึงเร่งรัดให้มีการสรุปเรื่องให้ได้โดยเร็ว ทั้งที่รู้อยู่ว่าขณะนี้กำลังมีพระราชกฤษฎีการเลือกตั้ง ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ อาจมีผลกระทบต่อการลงคะแนนของประชาชนในการเลือกตั้ง และถือได้ว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ป.ป.ช.จะเรียกตน และผู้ที่เกี่ยวข้องไปรับฟังข้อกล่าวหา และให้เวลา 15 วันในการชี้แจงข้อเท็จจริงนั้น ตนจะขอหารือกับทีมทนายความก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร
”ยังไงก็แล้วแต่ ผมพร้อมที่จะต่อสู้ตามกระบวนการภายใต้ กรอบของกฎหมาย ผมจะไม่ยอมถูกกลั่นแกล้งโดยเด็ดขาด” นายบุญทรงกล่าว
*** "พาณิชย์"เร่งหาเงินคืนคลัง
นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจสอบโกดังเก็บข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลที่จะเปิดประมูลผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) ของบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด ที่จ.สระบุรี ว่า กระทรวงพาณิชย์ จะเปิดประมูลข้าวสารในเอเฟตวันที่ 22 ม.ค.นี้ ปริมาณ 1.48 แสนตัน ซึ่งเลื่อนจากกำหนดการเดิมวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา เพราะความไม่สงบทางการเมือง โดยการประมูลครั้งนี้ จะนำข้าวสารจากโครงการจำนำข้าวเปลือกปี 2556/57 และปี 2555/56 มาเปิดประมูล เป็นข้าวขาว 5% ปริมาณ 1.10 แสนตัน และข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 3.84 หมื่นตัน ซึ่งคาดว่าจะได้ราคาดีกว่าการประมูลครั้งก่อน
ส่วนการชะลอการระบายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ปริมาณ 1 ล้านตันให้กับรัฐบาลจีนนั้น กระทรวงพาณิชย์จะเร่งระบายข้าวรัฐผ่านวิธีการอื่นทดแทน เพื่อให้มีเงินเข้ามาหมุนเวียนไปใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งในรูปของการประมูลผ่านเอเฟต และให้ภาคเอชกนที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเสนอซื้อข้าวจากรัฐได้โดยตรง ซึ่งยังสามารถดำเนินการได้ ไม่ติดขัดด้านกฎหมาย และยังระบายออกจากสต๊อกได้เร็วกว่าการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป ที่แม้จะยังสามารถดำเนินการได้ แต่กระทรวงพาณิชย์คงไม่เลือกเปิดประมูลทั่วไป เพราะจะได้เงินช้ากว่าการให้เอกชนเสนอซื้อเข้ามาโดยตรง ส่วนข้าวจีทูจีสัญญาเก่า จะเร่งรัดให้ผู้ซื้อมารับมอบโดยเร็ว เพื่อส่งเงินคืนกระทรวงการคลังได้ตามแผน
นายยรรยงกล่าวว่า กรณีที่มีชาวนาจากหลายจังหวัดรวมตัวประท้วงรัฐบาล เพราะยังไม่ได้รับเงินจากการจำนำข้าวเปลือกปี 2556/57 (รอบแรก) ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้เตรียมเงิน 5 หมื่นล้านบาทมาจ่ายให้ชาวนาแล้ว ซึ่งเป็นเงินที่เหลือจากเงินรับจำนำข้าวปี 2554/55 และปี 2555/56 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติกรอบไว้ 5 แสนล้านบาท โดยขณะนี้ มีชาวนาหลายจังหวัดได้รับไปแล้ว แต่จะสามารถจ่ายให้ชาวนาได้ทั้งหมดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มอีก 1.3 แสนล้านบาทได้หรือไม่
สำหรับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะชี้มูลความผิดกรณีการขายข้าวจีทูจีให้กับจีนไม่มีจริงนั้น ยืนยันว่า ข้าวจีทูจีที่ขายให้จีนมีจริงแน่นอน ไม่อยากให้ป.ป.ช.เอาหลักฐานข้อมูลของฝ่ายเดียวมาพิจารณา เพราะมีทั้งที่เป็นจริงและไม่จริง ป.ป.ช.ต้องสอบถามจากรัฐบาลจีนด้วย ซึ่งจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า
*** ชาวนาภาคเหนือล่างดีเดย์ปิดถนนวันนี้
วานนี้ (16 ม.ค.57) นายกิติศักดิ์ รัตนะวราหะ ประธานเครือข่ายแกนนำชาวนาภาคเหนือตอนล่าง เปิดเผยว่า ชาวนาพิจิตรเดือดร้อนจากนโยบายจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ที่ส่งมอบข้าวเปลือกเข้าโรงสีเกือบ 4 เดือนแต่ยังไม่ได้รับเงิน แม้เชุมนุมประท้วงหลายครั้ง แต่รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ผลัดวันประกันพรุ่ง ล่าสุดบอกว่าจะโอนเงินเข้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)วันที่ 15 มกราคม แต่มีแค่ 170 ล้านบาท จ่ายแค่หมู่บ้านละ 3-4 คนก็หมดแล้ว
ดังนั้นวันที่ 17 มกราคม กลุ่มของนายประกาศิต แจ่มจำรัส นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ท้ายน้ำ อ.โพทะเล นายมนูญ มณีโชติ แกนนำชาวนาลุ่มน้ำยมตอนใต้ของจ.พิจิตร จะปิดสี่แยกโพทะเล คาดว่าจะมีชาวนาเข้าร่วมกว่า 3,000 คน เพื่อกดดันให้รัฐบาลเร่งจ่ายเงิน ไม่ใช่ให้ความสำคัญแต่ชาวนาที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานและภาคเหนือตอนบนเท่านั้น
ทั้งนี้ ชาวนาในภาคเหนือตอนล่างได้รับความเดือนร้อนจำนวนมากจากการที่ไม่ได้รับเงินจากรัฐบาล โดยได้มีการนัดรวมตัวเพื่อปิดล้อมศาลากลาง และถนนเส้นทางสำคัญ เพื่อกดดันรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นชาวนาในจังหวัดพิจิตร กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ เป็นต้น