คนไทยวันนี้มองวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 มีความแตกแยกทางการเมืองเป็นนัยคือ
1. มองในแง่บวกว่าวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเป็นทางออกทางการเมือง ถ้ามีการเลือกตั้งตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภา ด้วยยึดแนวคิดที่ว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง และเมื่อมีการเลือกตั้งก็ถือว่าปัญหาความขัดแย้งที่เป็นอยุ่ในขณะนี้ ได้รับการแก้ไขแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อแต่นี้ไปประเทศไทยจะก้าวเดินต่อไปด้วยความเรียบร้อย
ผู้ที่มองเช่นนี้ก็คือ ผู้ที่กำลังเป็นรัฐบาลรักษาการ และผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลรักษาการจะด้วยเหตุเพราะมีอุดมการณ์และความเชื่อทางการเมืองเหมือนกัน หรือจะด้วยเหตุเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันกับผู้ที่เป็นรัฐบาลรักษาการในลักษณะที่เรียกว่า ศรัทธาอาศัยคือเชื่อถือเพราะได้ประโยชน์โดยไม่เปิดหู เปิดตา และเปิดใจดู และฝั่งฝ่ายที่คิดตรงกันข้ามอันได้แก่ผู้ที่กำลังชุมนุมคัดค้านที่ถนนราชดำเนิน และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทยว่าคนเหล่านี้คิดอะไร พูดอะไร และทำอะไรอยู่ และที่สำคัญที่สุดอะไรคือมูลเหตุจูงใจที่ทำให้คนเหล่านี้ออกมาแสดงพฤติกรรมในการต่อต้าน ทั้งสิ่งที่พวกเขาต่อต้านจริงหรือไม่จริงอย่างไร รวมไปถึงจำนวนผู้ที่ออกมาชุมนุมต่อต้านมากน้อยแค่ไหนเพียงไร
พูดง่ายๆ ก็คือ ฝ่ายที่มองว่าวันที่ 2 กุมภาฯ เป็นทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง คิดเอง เออเองโดยไม่ฟังใคร และไม่สนใจว่าประเทศชาติและประชาชนจะได้หรือเสียอะไร คุ้มกันไหม ถ้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ในขณะที่คนไทยในประเทศส่วนหนึ่ง และอาจเป็นส่วนใหญ่ด้วยไม่ยอมรับการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อน จัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อประเทศและประชาชนมีความพร้อมในการเมืองมากกว่าที่เป็นมาแล้ว และกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้
2. ผู้ที่มองวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ในแง่ลบว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ มิใช่ทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ตรงกันข้ามมองว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่
ผู้ที่มองเช่นนี้ได้แก่ผู้ที่ชุมนุมเรียกร้องให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งคณะลาออก และจะต้องไม่แต่งตั้งใครรักษาการ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้มีการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมาทำการปฏิรูปประเทศในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเพื่อให้มีความโปร่งใส และเกื้อหนุนต่อการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมก่อนแล้วค่อยจัดให้มีการเลือกตั้ง
แนวคิดและข้อเรียกร้องของฝ่ายนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนทุกภาคส่วนของสังคมไทย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน และหลายๆ ล้าน จะเห็นได้จากจุดเริ่มต้นที่สามเสน และเรื่อยมาจนถึงราชดำเนิน ล่าสุดที่หลายๆ เวทีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาในการพัฒนาแนวคิดนี้เพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น
จากจำนวนของประชาชนผู้เห็นด้วยกับแนวทางที่ว่าต้องปฏิรูปก่อนแล้วค่อยจัดการเลือกตั้งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถ้ายังจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยยึดตามตัวบทกฎหมาย และการตีความเข้าข้างตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัว ดังที่รัฐบาลรักษาการแถลงการณ์แบบซ้ำๆ ซากๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่องอยู่ในขณะนี้ ความวุ่นวายทางการเมืองคงจะเกิดขึ้น และทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้ง โดยไร้ประโยชน์ค่อนข้างแน่นอน ถ้าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ มีอันต้องล้มเหลวจะด้วยได้ ส.ส.ไม่ครบจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดให้เปิดสภาฯได้ และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งหลายครั้งเหมือนวันที่ 2 เมษายน 2549
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากปัจจัยหลัก 2 ประการคือ จำนวนผู้คัดค้านการเลือกตั้งก่อนจะจัดให้มีการปฏิรูปเพิ่มขึ้นมาก เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม และการประกาศไม่ส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ ก็พออนุมานได้ว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ ยากที่จะได้ ส.ส.ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดให้เปิดสภาฯ ได้เพียงจัดการเลือกตั้งครั้งเดียว และถ้ามีการจ้างพรรคเล็กเพื่อลงสมัครให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงสอบตกเนื่องจากได้คะแนนไม่ถึง 20% ก็คงจะหนีไม่พ้นมีการฟ้องร้อง และนำไปสู่การยุบพรรคอีกครั้ง
ทั้งหมดที่เขียนมาก็เพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นภาพรวมของการเมืองจากนี้ไปจนถึงวันที่ 2 กุมภา โดยมีข้อยกเว้นว่าจะต้องไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน 2 เหตุการณ์เกิดขึ้น และทำให้การเมืองเปลี่ยนไป
2 เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ
1. กองทัพออกมาแสดงจุดยืนข้างประชาชนผู้เรียกร้องการปฏิรูปก่อนจัดให้มีการเลือกตั้ง
2. ป.ป.ช.ออกมาชี้มูลความผิดคดีจำนำข้าวหรือคดีที่ว่าด้วยการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ส.และมีผลให้นายกฯ รักษาการ และครม.ทั้งคณะมีอันต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐบาลรักษาการ เปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยใช้มาตรา 3 และมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป
ถ้าปัจจัย 2 ประการนี้ไม่เกิดขึ้น และการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เกิดขึ้นได้ รับรองได้แน่นอนว่าจะต้องเกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองครั้งใหม่ และครั้งใหญ่กว่าที่เป็นมาแล้วแน่นอน
ส่วนว่าจะเกิดเมื่อใด และจะจบลงอย่างไรนั้น เห็นต้องพึ่งศาสตร์แห่งการพยากรณ์คือโหราศาสตร์เพื่อเป็นแนวทางแห่งการคาดการณ์ดังต่อไปนี้
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 11.19 น. ดาวอังคารเจ้าเรือนลัคนาโคจรจากราศีกันย์เข้าสู่ราศีตุลย์ ทำมุมเล็งลัคนาและอาทิตย์โดยรวมเสาร์และราหู ในขณะเดียวกัน ดาวอาทิตย์โคจรทำมุมตรีโกณอังคารในราศีมังกรจากวันที่ 1-13 กุมภาฯ อันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่อังคารทำมุมเดียว ดวงเมืองจึงทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนี้วุ่นวายสุดขีด และเป็นไปได้สูงว่ากองทัพอาจเข้ามาระงับเหตุ และถือโอกาสจัดระเบียบสังคมให้อยู่ในความสงบระยะหนึ่งก่อนที่จะเปิดโอกาสให้นักบริหารมืออาชีพเข้ามาปกครองประเทศ
แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าจาก 14 ธ.ค. 56-14 ม.ค. 57 ในขณะที่กองทัพยังไม่แสดงจุดยืนใดๆ ทางฝ่ายตุลาการได้ออกมาแก้ปัญหาด้วยชี้มูลความผิด ครม.ทั้งคณะเรื่องทุจริตจำนำข้าว และทำให้เกิดสุญญากาศนำไปสู่การตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมาก็เป็นไปได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน 2 ประการนี้ ถือได้ว่าประเทศไทยโชคดีที่ทำให้รอดพ้นจากการครอบงำของการเมืองน้ำเน่าในระบอบทักษิณไปได้
1. มองในแง่บวกว่าวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเป็นทางออกทางการเมือง ถ้ามีการเลือกตั้งตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภา ด้วยยึดแนวคิดที่ว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง และเมื่อมีการเลือกตั้งก็ถือว่าปัญหาความขัดแย้งที่เป็นอยุ่ในขณะนี้ ได้รับการแก้ไขแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อแต่นี้ไปประเทศไทยจะก้าวเดินต่อไปด้วยความเรียบร้อย
ผู้ที่มองเช่นนี้ก็คือ ผู้ที่กำลังเป็นรัฐบาลรักษาการ และผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลรักษาการจะด้วยเหตุเพราะมีอุดมการณ์และความเชื่อทางการเมืองเหมือนกัน หรือจะด้วยเหตุเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันกับผู้ที่เป็นรัฐบาลรักษาการในลักษณะที่เรียกว่า ศรัทธาอาศัยคือเชื่อถือเพราะได้ประโยชน์โดยไม่เปิดหู เปิดตา และเปิดใจดู และฝั่งฝ่ายที่คิดตรงกันข้ามอันได้แก่ผู้ที่กำลังชุมนุมคัดค้านที่ถนนราชดำเนิน และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทยว่าคนเหล่านี้คิดอะไร พูดอะไร และทำอะไรอยู่ และที่สำคัญที่สุดอะไรคือมูลเหตุจูงใจที่ทำให้คนเหล่านี้ออกมาแสดงพฤติกรรมในการต่อต้าน ทั้งสิ่งที่พวกเขาต่อต้านจริงหรือไม่จริงอย่างไร รวมไปถึงจำนวนผู้ที่ออกมาชุมนุมต่อต้านมากน้อยแค่ไหนเพียงไร
พูดง่ายๆ ก็คือ ฝ่ายที่มองว่าวันที่ 2 กุมภาฯ เป็นทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง คิดเอง เออเองโดยไม่ฟังใคร และไม่สนใจว่าประเทศชาติและประชาชนจะได้หรือเสียอะไร คุ้มกันไหม ถ้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ในขณะที่คนไทยในประเทศส่วนหนึ่ง และอาจเป็นส่วนใหญ่ด้วยไม่ยอมรับการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อน จัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อประเทศและประชาชนมีความพร้อมในการเมืองมากกว่าที่เป็นมาแล้ว และกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้
2. ผู้ที่มองวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ในแง่ลบว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ มิใช่ทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ตรงกันข้ามมองว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่
ผู้ที่มองเช่นนี้ได้แก่ผู้ที่ชุมนุมเรียกร้องให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งคณะลาออก และจะต้องไม่แต่งตั้งใครรักษาการ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้มีการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมาทำการปฏิรูปประเทศในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเพื่อให้มีความโปร่งใส และเกื้อหนุนต่อการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมก่อนแล้วค่อยจัดให้มีการเลือกตั้ง
แนวคิดและข้อเรียกร้องของฝ่ายนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนทุกภาคส่วนของสังคมไทย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน และหลายๆ ล้าน จะเห็นได้จากจุดเริ่มต้นที่สามเสน และเรื่อยมาจนถึงราชดำเนิน ล่าสุดที่หลายๆ เวทีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาในการพัฒนาแนวคิดนี้เพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น
จากจำนวนของประชาชนผู้เห็นด้วยกับแนวทางที่ว่าต้องปฏิรูปก่อนแล้วค่อยจัดการเลือกตั้งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถ้ายังจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยยึดตามตัวบทกฎหมาย และการตีความเข้าข้างตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัว ดังที่รัฐบาลรักษาการแถลงการณ์แบบซ้ำๆ ซากๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่องอยู่ในขณะนี้ ความวุ่นวายทางการเมืองคงจะเกิดขึ้น และทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้ง โดยไร้ประโยชน์ค่อนข้างแน่นอน ถ้าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ มีอันต้องล้มเหลวจะด้วยได้ ส.ส.ไม่ครบจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดให้เปิดสภาฯได้ และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งหลายครั้งเหมือนวันที่ 2 เมษายน 2549
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากปัจจัยหลัก 2 ประการคือ จำนวนผู้คัดค้านการเลือกตั้งก่อนจะจัดให้มีการปฏิรูปเพิ่มขึ้นมาก เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม และการประกาศไม่ส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ ก็พออนุมานได้ว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาฯ ยากที่จะได้ ส.ส.ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดให้เปิดสภาฯ ได้เพียงจัดการเลือกตั้งครั้งเดียว และถ้ามีการจ้างพรรคเล็กเพื่อลงสมัครให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงสอบตกเนื่องจากได้คะแนนไม่ถึง 20% ก็คงจะหนีไม่พ้นมีการฟ้องร้อง และนำไปสู่การยุบพรรคอีกครั้ง
ทั้งหมดที่เขียนมาก็เพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นภาพรวมของการเมืองจากนี้ไปจนถึงวันที่ 2 กุมภา โดยมีข้อยกเว้นว่าจะต้องไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน 2 เหตุการณ์เกิดขึ้น และทำให้การเมืองเปลี่ยนไป
2 เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ
1. กองทัพออกมาแสดงจุดยืนข้างประชาชนผู้เรียกร้องการปฏิรูปก่อนจัดให้มีการเลือกตั้ง
2. ป.ป.ช.ออกมาชี้มูลความผิดคดีจำนำข้าวหรือคดีที่ว่าด้วยการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ส.และมีผลให้นายกฯ รักษาการ และครม.ทั้งคณะมีอันต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐบาลรักษาการ เปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยใช้มาตรา 3 และมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป
ถ้าปัจจัย 2 ประการนี้ไม่เกิดขึ้น และการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เกิดขึ้นได้ รับรองได้แน่นอนว่าจะต้องเกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองครั้งใหม่ และครั้งใหญ่กว่าที่เป็นมาแล้วแน่นอน
ส่วนว่าจะเกิดเมื่อใด และจะจบลงอย่างไรนั้น เห็นต้องพึ่งศาสตร์แห่งการพยากรณ์คือโหราศาสตร์เพื่อเป็นแนวทางแห่งการคาดการณ์ดังต่อไปนี้
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 11.19 น. ดาวอังคารเจ้าเรือนลัคนาโคจรจากราศีกันย์เข้าสู่ราศีตุลย์ ทำมุมเล็งลัคนาและอาทิตย์โดยรวมเสาร์และราหู ในขณะเดียวกัน ดาวอาทิตย์โคจรทำมุมตรีโกณอังคารในราศีมังกรจากวันที่ 1-13 กุมภาฯ อันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่อังคารทำมุมเดียว ดวงเมืองจึงทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนี้วุ่นวายสุดขีด และเป็นไปได้สูงว่ากองทัพอาจเข้ามาระงับเหตุ และถือโอกาสจัดระเบียบสังคมให้อยู่ในความสงบระยะหนึ่งก่อนที่จะเปิดโอกาสให้นักบริหารมืออาชีพเข้ามาปกครองประเทศ
แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าจาก 14 ธ.ค. 56-14 ม.ค. 57 ในขณะที่กองทัพยังไม่แสดงจุดยืนใดๆ ทางฝ่ายตุลาการได้ออกมาแก้ปัญหาด้วยชี้มูลความผิด ครม.ทั้งคณะเรื่องทุจริตจำนำข้าว และทำให้เกิดสุญญากาศนำไปสู่การตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมาก็เป็นไปได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน 2 ประการนี้ ถือได้ว่าประเทศไทยโชคดีที่ทำให้รอดพ้นจากการครอบงำของการเมืองน้ำเน่าในระบอบทักษิณไปได้