นายภุชงค์ นุตราวงศ์ แถลงภายหลังการประชุม กกต. เมื่อวานนี้ (24ธ.ค.) ว่าได้มีการหารือ ในประเด็นที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 เมื่อคณะรัฐมนตรีพ้นไปทั้งคณะ และพระราชกฤษฎีกายุบสภา กำหนดวันเลือกตั้ง การที่ ครม. และส่วนราชการอื่นๆ จะกระทำการใดๆ ต้องมาให้ กกต. ให้ความเห็นชอบก่อน โดยกกต. ได้หารือในส่วนของ กทม. ที่ได้ขอหารือเกี่ยวกับโครงการฝึกอบรมศึกษาดูงานทั้งภายใน และต่างประเทศ ของข้าราชการ กทม. ส.ก. ส.ข. และบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องนั้น
กกต.พิจารณาแล้ว เห็นว่า การกระทำดังกล่าวเกรงว่าจะเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครได้ เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของพระราชกฤษฎีกา กกต. จึงขอให้งดเว้นโครงการดังกล่าวไปก่อน เพื่อถือเป็นแนวทางปฏิบัติกับทุกฝ่าย แต่ถ้าหากเป็นการศึกษาดูงานของนักศึกษาหรือสถาบันต่างๆ เช่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้
ส่วนที่หารือว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ รัฐมนตรีจะไปเปิดงาน เปิดนิทรรศการต่างๆ กกต. มีความเห็นว่า การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ แต่จะต้องระมัดระวัง ที่จะส่อไปในทางการหาเสียงและจูงใจ นอกจากนี้ยังได้การหารือของกระทรวงพาณิชย์ การบริหารจัดการสินค้าการเกษตร เช่น ข้าว มันสำปะหลัง การจำหน่ายระบายสินค้าการเกษตรที่อยู่ในสต็อก และการเดินทางไปราชการในต่างประเทศของ รมว. และ รมช.พาณิชย์ เกี่ยวกับสินค้าการเกษตร การเจรจาซื้อขายสินค้าการเกษตร กกต. เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการดำเนินการโครงการที่ต่อเนื่อง หากเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย ก็ดำเนินการได้ แต่กรณีที่ รมว. และรมช. จะเดินทางไปต่างประเทศ ขอให้ระมัดระวังว่าจะมีผลผูกพันกับรัฐบาลชุดต่อไปหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีการร้องเรียนและนำมาโจมตีในภายหลังได้
สำหรับที่หารือมาว่า กระทรวงการคลังขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างประกาศกระทรวงการคลังลดอัตราภาษีสรรพสามิต ฉบับที่... พ.ศ.... ว่าด้วยเรื่องน้ำมันดีเซล ที่จะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค.56 หากมีการปรับเพิ่ม จะทำให้ประชาชนมีภาระเพิ่ม ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาและแบ่งเบาภาระของประชาชน กกต.จึงเห็นว่า ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เป็นนโยบายต่อเนื่องตั้งแต่ปี 52 ที่ต้องขออนุมัติทุก 1 เดือน และหากไม่ดำเนินการต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นกว่า 10 บาท ประกอบกับน้ำมันดีเซล เป็นปัจจัยที่สำคัญของการผลิตทุกภาค หากไม่ดำเนินการ รัฐบาลต้องเพิ่มเงินเกือบหมื่นล้านบาทบาท อีกทั้งนโยบายที่ไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ทำเพื่อประชาชนกกต. จึงเห็นชอบให้คงอัตราภาษีไว้ก่อน ระหว่างวันที่ 1 - 31 ม.ค. 57 และในเดือนถัดไป ยังอยู่ในช่วงการเลือกตั้ง ครม. ก็จะต้องทำส่งเรื่องดังกล่าวมาให้ กกต. อีกครั้ง จนกว่าจะสิ้นสุดการเลือกตั้ง
**"โต้ง-กรณ์"อัดกันนัวผ่านเฟซบุ๊ก
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกฯ และรมว. คลัง โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า วันนี้ได้เห็นข่าวอดีต รมว.คลัง คุณกรณ์ จาติกวนิช ไม่ต้องการให้ กกต.อนุมัติให้รัฐบาล ต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดเป็นรายเดือน เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของท่าน แต่ไม่นึกถึงความเดือดร้อนของประชาชน ที่อาจจะต้องจ่ายค่าน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นถึงลิตรละ 10 บาท ที่ผ่านมารัฐบาลต่ออายุทีละเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิต นี่เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง และถ้าไม่ได้ต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลนี้ ภาษีน้ำมันดีเซลก็จะเด้งไปที่ ลิตรละ 10 บาท จากปัจจุบันที่ 0.005 บาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง และส่งผลไปยังต้นทุนสินค้าและบริการจำนวนมากที่จะเพิ่มสูงขึ้น
“คุณกรณ์เป็นนักการเมืองที่ใจร้ายจริงๆ”
ส่วนนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุหัวข้อว่า "พาดพิง" โดยเนื้อหาที่นายกรณ์โพสต์ ระบุว่า คุณกิตติรัตน์ ได้กล่าวหาผมผ่าน facebook ของท่านว่า 'คุณกรณ์ จาติกวณิช ไม่ต้องการให้ กกต.อนุมัติให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตนํ้ามันดีเซล' และเหมาเอาเองว่าผมหวังประโยชน์ทางการเมือง และสรุปว่า 'คุณกรณ์เป็นนักการเมืองที่ใจร้ายจริงๆ'
ผมขอยืนยันว่า ที่คุณกิตติรัตน์ กล่าวหาผมทั้งหมดนั้น ไม่เป็นความจริง ผมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ชัดเจนว่า เรื่องนี้ขึ้นกับ กกต. เป็นผู้วินิจฉัย และพูดชัดเจนด้วยว่าในหลักการ ผมไม่ค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะนโยบายนี้ได้มีการริเริ่มโดยรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วยซํ้าไป ผมพูดตรงไหนว่าผม 'ไม่ต้องการ' ให้กกต.อนุมัติ
ในการสัมภาษณ์ ผมได้ตำหนิรัฐบาลว่า ไม่รอบคอบในการทำงาน เพราะควรจะพิจารณาเรื่องที่มีผลต่อค่าครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ครบก่อนที่จะยุบสภาฯ เมื่อปล่อยปละละเลยมาถึงวันนี้จึงทำให้ประชาชนต้องมานั่งลุ้นเอาว่ากกต. จะยอมให้ต่ออายุโครงการหรือไม่ ดังนั้น ที่คุณกิตติรัตน์ควรอธิบายมากกว่าก็คือ ทำไมถึงไม่ต่ออายุโครงการนี้เสียให้เรียบร้อย เมื่อมีโอกาส จะได้ไม่มีความเสี่ยงต่อประชาชน ความเสี่ยงต่อประชาชน ที่ว่าคือการซ้ำเติมปัญหาค่าครองชีพที่รัฐบาลของคุณกิตติรัตน์ ได้ทำร้ายประชาชนมาตลอด 2 ปี 4 เดือน ที่เป็นรัฐบาล เริ่มด้วยการบิดเบือน กลไกในการดูแลราคาพลังงานพลังงานจนล้มเหลว เพื่อสนองต่อวาทกรรมหาเสียงเรื่องกระชากค่าครองชีพ จนทำให้เปิดปรากฏการณ์ 'แพงทั้งแผ่นดิน' ในปีแรก และสร้างความชินชา ต่อปัญหาข้าวของแพงต่อเนื่องในปีถัดมา เท่านั้นยังไม่พอ ครั้งนี้ปัญหาการเมืองภายในก็สาหัสพอแล้ว รัฐบาลโดยรมว.คลัง ยังซ้ำเติมประชาชนด้วยความไม่รอบคอบต่อประเด็นที่เสี่ยงต่อการก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือนโดยตรงของประชาชนอีก
หาก กกต.ไม่อนุมัติขึ้นมาจริงๆ ด้วยประเด็นทางกฎหมาย แน่นอน ราคาน้ำมันดีเซล จะพุ่งขึ้นอย่างแน่นอน ประมาณ 10 บาทต่อลิตรตามที่มีการคาดการณ์กัน ไม่อยากจะคิดครับว่า 10 บาทต่อลิตร ที่ราคาน้ำมันดีเซล จะต้องปรับขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ไม่มีรัฐบาลแบบนี้จะเป็นอย่างไร แทนที่จะมาป้ายสีฝั่งตรงข้าม การคิดมาตรการป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของรักษาการณ์เช่นเดียวกันครับ แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว หาวิธีบรรเทาได้บ้างก็ยังดี
การที่มาพยายามโยนขี้ให้ฝั่งตรงข้าม เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งครับ
กกต.พิจารณาแล้ว เห็นว่า การกระทำดังกล่าวเกรงว่าจะเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครได้ เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของพระราชกฤษฎีกา กกต. จึงขอให้งดเว้นโครงการดังกล่าวไปก่อน เพื่อถือเป็นแนวทางปฏิบัติกับทุกฝ่าย แต่ถ้าหากเป็นการศึกษาดูงานของนักศึกษาหรือสถาบันต่างๆ เช่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้
ส่วนที่หารือว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ รัฐมนตรีจะไปเปิดงาน เปิดนิทรรศการต่างๆ กกต. มีความเห็นว่า การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ แต่จะต้องระมัดระวัง ที่จะส่อไปในทางการหาเสียงและจูงใจ นอกจากนี้ยังได้การหารือของกระทรวงพาณิชย์ การบริหารจัดการสินค้าการเกษตร เช่น ข้าว มันสำปะหลัง การจำหน่ายระบายสินค้าการเกษตรที่อยู่ในสต็อก และการเดินทางไปราชการในต่างประเทศของ รมว. และ รมช.พาณิชย์ เกี่ยวกับสินค้าการเกษตร การเจรจาซื้อขายสินค้าการเกษตร กกต. เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการดำเนินการโครงการที่ต่อเนื่อง หากเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย ก็ดำเนินการได้ แต่กรณีที่ รมว. และรมช. จะเดินทางไปต่างประเทศ ขอให้ระมัดระวังว่าจะมีผลผูกพันกับรัฐบาลชุดต่อไปหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีการร้องเรียนและนำมาโจมตีในภายหลังได้
สำหรับที่หารือมาว่า กระทรวงการคลังขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างประกาศกระทรวงการคลังลดอัตราภาษีสรรพสามิต ฉบับที่... พ.ศ.... ว่าด้วยเรื่องน้ำมันดีเซล ที่จะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค.56 หากมีการปรับเพิ่ม จะทำให้ประชาชนมีภาระเพิ่ม ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาและแบ่งเบาภาระของประชาชน กกต.จึงเห็นว่า ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เป็นนโยบายต่อเนื่องตั้งแต่ปี 52 ที่ต้องขออนุมัติทุก 1 เดือน และหากไม่ดำเนินการต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นกว่า 10 บาท ประกอบกับน้ำมันดีเซล เป็นปัจจัยที่สำคัญของการผลิตทุกภาค หากไม่ดำเนินการ รัฐบาลต้องเพิ่มเงินเกือบหมื่นล้านบาทบาท อีกทั้งนโยบายที่ไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ทำเพื่อประชาชนกกต. จึงเห็นชอบให้คงอัตราภาษีไว้ก่อน ระหว่างวันที่ 1 - 31 ม.ค. 57 และในเดือนถัดไป ยังอยู่ในช่วงการเลือกตั้ง ครม. ก็จะต้องทำส่งเรื่องดังกล่าวมาให้ กกต. อีกครั้ง จนกว่าจะสิ้นสุดการเลือกตั้ง
**"โต้ง-กรณ์"อัดกันนัวผ่านเฟซบุ๊ก
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกฯ และรมว. คลัง โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า วันนี้ได้เห็นข่าวอดีต รมว.คลัง คุณกรณ์ จาติกวนิช ไม่ต้องการให้ กกต.อนุมัติให้รัฐบาล ต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดเป็นรายเดือน เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของท่าน แต่ไม่นึกถึงความเดือดร้อนของประชาชน ที่อาจจะต้องจ่ายค่าน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นถึงลิตรละ 10 บาท ที่ผ่านมารัฐบาลต่ออายุทีละเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิต นี่เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง และถ้าไม่ได้ต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลนี้ ภาษีน้ำมันดีเซลก็จะเด้งไปที่ ลิตรละ 10 บาท จากปัจจุบันที่ 0.005 บาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง และส่งผลไปยังต้นทุนสินค้าและบริการจำนวนมากที่จะเพิ่มสูงขึ้น
“คุณกรณ์เป็นนักการเมืองที่ใจร้ายจริงๆ”
ส่วนนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุหัวข้อว่า "พาดพิง" โดยเนื้อหาที่นายกรณ์โพสต์ ระบุว่า คุณกิตติรัตน์ ได้กล่าวหาผมผ่าน facebook ของท่านว่า 'คุณกรณ์ จาติกวณิช ไม่ต้องการให้ กกต.อนุมัติให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตนํ้ามันดีเซล' และเหมาเอาเองว่าผมหวังประโยชน์ทางการเมือง และสรุปว่า 'คุณกรณ์เป็นนักการเมืองที่ใจร้ายจริงๆ'
ผมขอยืนยันว่า ที่คุณกิตติรัตน์ กล่าวหาผมทั้งหมดนั้น ไม่เป็นความจริง ผมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ชัดเจนว่า เรื่องนี้ขึ้นกับ กกต. เป็นผู้วินิจฉัย และพูดชัดเจนด้วยว่าในหลักการ ผมไม่ค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะนโยบายนี้ได้มีการริเริ่มโดยรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วยซํ้าไป ผมพูดตรงไหนว่าผม 'ไม่ต้องการ' ให้กกต.อนุมัติ
ในการสัมภาษณ์ ผมได้ตำหนิรัฐบาลว่า ไม่รอบคอบในการทำงาน เพราะควรจะพิจารณาเรื่องที่มีผลต่อค่าครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ครบก่อนที่จะยุบสภาฯ เมื่อปล่อยปละละเลยมาถึงวันนี้จึงทำให้ประชาชนต้องมานั่งลุ้นเอาว่ากกต. จะยอมให้ต่ออายุโครงการหรือไม่ ดังนั้น ที่คุณกิตติรัตน์ควรอธิบายมากกว่าก็คือ ทำไมถึงไม่ต่ออายุโครงการนี้เสียให้เรียบร้อย เมื่อมีโอกาส จะได้ไม่มีความเสี่ยงต่อประชาชน ความเสี่ยงต่อประชาชน ที่ว่าคือการซ้ำเติมปัญหาค่าครองชีพที่รัฐบาลของคุณกิตติรัตน์ ได้ทำร้ายประชาชนมาตลอด 2 ปี 4 เดือน ที่เป็นรัฐบาล เริ่มด้วยการบิดเบือน กลไกในการดูแลราคาพลังงานพลังงานจนล้มเหลว เพื่อสนองต่อวาทกรรมหาเสียงเรื่องกระชากค่าครองชีพ จนทำให้เปิดปรากฏการณ์ 'แพงทั้งแผ่นดิน' ในปีแรก และสร้างความชินชา ต่อปัญหาข้าวของแพงต่อเนื่องในปีถัดมา เท่านั้นยังไม่พอ ครั้งนี้ปัญหาการเมืองภายในก็สาหัสพอแล้ว รัฐบาลโดยรมว.คลัง ยังซ้ำเติมประชาชนด้วยความไม่รอบคอบต่อประเด็นที่เสี่ยงต่อการก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือนโดยตรงของประชาชนอีก
หาก กกต.ไม่อนุมัติขึ้นมาจริงๆ ด้วยประเด็นทางกฎหมาย แน่นอน ราคาน้ำมันดีเซล จะพุ่งขึ้นอย่างแน่นอน ประมาณ 10 บาทต่อลิตรตามที่มีการคาดการณ์กัน ไม่อยากจะคิดครับว่า 10 บาทต่อลิตร ที่ราคาน้ำมันดีเซล จะต้องปรับขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ไม่มีรัฐบาลแบบนี้จะเป็นอย่างไร แทนที่จะมาป้ายสีฝั่งตรงข้าม การคิดมาตรการป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของรักษาการณ์เช่นเดียวกันครับ แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว หาวิธีบรรเทาได้บ้างก็ยังดี
การที่มาพยายามโยนขี้ให้ฝั่งตรงข้าม เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งครับ