กกต.แจงไฟเขียวให้ ก.คลัง เสนอลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ก่อนจะหมดอายุ 31 ธ.ค.นี้ ชี้เป็นนโยบาย ไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมือง แต่เดือนถัดไปต้องส่งเรื่องให้ กกต. อีกครั้ง ด้าน “กรณ์” เฉ่ง “กิตติรัตน์” บิดเบือนคำพูด ยืนยันเห็นด้วยในหลักการแต่ขึ้นอยู่กับ กกต.แต่ซัดทำไมไม่ต่ออายุให้เรียบร้อย บิดเบือนกลไกราคาพลังงานกระชากค่าครองชีพแพงทั้งแผ่นดิน ไม่เหมาะสมป้ายสีฝ่ายตรงข้าม
วันนี้ (24 ธ.ค.) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง แถลงภายหลังการประชุม กกต.กรณีกระทรวงการคลังขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างประกาศกระทรวงการคลังลดอัตราภาษีสรรพสามิต ฉบับที่. ... พ.ศ. .... ว่าด้วยเรื่องน้ำมันดีเซลที่จะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค. 2556 หากมีการปรับเพิ่มจะทำให้ประชาชนมีภาระเพิ่ม ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาและแบ่งเบาภาระของประชาชน กกต.จึงเห็นว่า ข้อเสนอของกระทรวงการคลังเป็นนโยบายต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552 ที่ต้องขออนุมัติทุก 1 เดือน และหากไม่ดำเนินการต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นกว่า 10 บาท ประกอบกับน้ำมันดีเซลเป็นปัจจัยที่สำคัญของการผลิตทุกภาค หากไม่ดำเนินการ รัฐบาลต้องเพิ่มเงินเกือบหมื่นล้านบาท อีกทั้งนโยบายที่ไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ทำเพื่อประชาชน กกต.จึงเห็นชอบให้คงอัตราภาษีไว้ก่อน ระหว่างวันที่ 1-31 ม.ค. 2557 และในเดือนถัดไปยังอยู่ในช่วงการเลือกตั้ง ครม. ก็จะต้องทำส่งเรื่องดังกล่าวมาให้ กกต.อีกครั้ง จนกว่าจะสิ้นสุดการเลือกตั้ง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า วันนี้ได้เห็นข่าว นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง ไม่ต้องการให้ กกต.อนุมัติให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดเป็นรายเดือน เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของท่าน แต่ไม่นึกถึงความเดือดร้อนของประชาชน ที่อาจจะต้องจ่ายค่าน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นถึงลิตรละ 10 บาท ที่ผ่านมารัฐบาลต่ออายุทีละเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด นี่เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง และถ้าไม่ได้ต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลนี้ ภาษีน้ำมันดีเซลก็จะเด้งไปที่ลิตรละ 10 บาท จากปัจจุบันที่ 0.005 บาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง และส่งผลไปยังต้นทุนสินค้าและบริการจำนวนมากที่จะเพิ่มสูงขึ้น นายกรณ์เป็นนักการเมืองที่ใจร้ายจริงๆ
ส่วนนายกรณ์โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุหัวข้อว่า “พาดพิง” โดยเนื้อหาที่นายกรณ์โพสต์ระบุว่า นายกิตติรัตน์ ได้กล่าวหาตนผ่านเฟซบุ๊กว่าไม่ต้องการให้ กกต.อนุมัติให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตนํ้ามันดีเซล และเหมาเอาเองว่าตนหวังประโยชน์ทางการเมือง และสรุปว่า เป็นนักการเมืองที่ใจร้ายจริงๆ ยืนยันว่าที่นายกิตติรัตน์ กล่าวหาตนทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง ตนได้ให้สัมภาษณ์ไว้ชัดเจนว่าเรื่องนี้ขึ้นกับ กกต.เป็นผู้วินิจฉัย และพูดชัดเจนด้วยว่าในหลักการ ตนไม่ค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะนโยบายนี้ได้มีการริเริ่มโดยรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วยซํ้าไป ตนพูดตรงไหนว่าตนไม่ต้องการให้ กกต.อนุมัติ
“ในการสัมภาษณ์ ผมได้ตำหนิรัฐบาลว่าไม่รอบคอบในการทำงาน เพราะควรจะพิจารณาเรื่องที่มีผลต่อค่าครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ครบก่อนที่จะยุบสภาฯ เมื่อปล่อยปละละเลยมาถึงวันนี้จึงทำให้ประชาชนต้องมานั่งลุ้นเอาว่า กกต.จะยอมให้ต่ออายุโครงการหรือไม่ ดังนั้นที่คุณกิตติรัตน์ควรอธิบายมากกว่าก็คือ ทำไมถึงไม่ต่ออายุโครงการนี้เสียให้เรียบร้อยเมื่อมีโอกาส จะได้ไม่มีความเสี่ยงต่อประชาชน ความเสี่ยงต่อประชาชนที่ว่าคือการซ้ำเติมปัญหาค่าครองชีพที่รัฐบาลของคุณกิตติรัตน์ได้ทำร้ายประชาชนมาตลอด 2 ปี 4 เดือนที่เป็นรัฐบาล เริ่มด้วยการบิดเบือนกลไกในการดูแลราคาพลังงานพลังงานจนล้มเหลว เพื่อสนองต่อวาทกรรมหาเสียงเรื่องกระชากค่าครองชีพ จนทำให้เปิดปรากฏการณ์แพงทั้งแผ่นดินในปีแรก และสร้างความชินชาต่อปัญหาข้าวของแพงต่อเนื่องในปีถัดมา” นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์กล่าวอีกว่า ครั้งนี้ปัญหาการเมืองภายในก็สาหัสพอแล้ว รัฐบาลโดย รมว.คลังยังซ้ำเติมประชาชนด้วยความไม่รอบคอบต่อประเด็นที่เสี่ยงต่อการก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือนโดยตรงของประชาชนอีก หาก กกต.ไม่อนุมัติขึ้นมาจริงๆ ด้วยประเด็นทางกฎหมาย แน่นอน ราคาน้ำมันดีเซล จะพุ่งขึ้นอย่างแน่นอน ประมาณ 10 บาทต่อลิตร ตามที่มีการคาดการณ์กัน ไม่อยากจะคิดว่า 10 บาทต่อลิตร ที่ราคาน้ำมันดีเซลจะต้องปรับขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ไม่มีรัฐบาลแบบนี้จะเป็นอย่างไร แทนที่จะมาป้ายสีฝั่งตรงข้าม การคิดมาตรการป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของรักษาการณ์เช่นเดียวกันครับ แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว หาวิธีบรรเทาได้บ้างก็ยังดี
“การที่มาพยายามโยนขี้ให้ฝั่งตรงข้าม เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง” นายกรณ์กล่าว