เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2556 ถือเป็นเกียรติมีโอกาสได้ขึ้นเวทีปราศรัยในงานพันธมิตรฯสัมพันธ์เพื่อร่วมกันหาทางออกของประเทศ ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงเศษเพื่อพยายามย้อนอดีตให้เห็นว่าพวกเราผ่านการรณรงค์ทางปัญญากับสังคมไทยมายาวนานเพียงใดเพื่อให้สังคมตระหนักว่าประเทศนี้จำเป็นต้องปฏิรูปใหญ่ โดยเฉพาะทางด้านการเมืองจะต้องเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการรัฐสภาของกลุ่มทุนเจ้าของพรรคการเมืองให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
ในฐานะสื่อที่เลือกข้างความถูกต้องและความเป็นธรรม เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2535 ผ่านทิศทางหน้าการเมืองและหน้าบทความของนสพ.ผู้จัดการรายวัน โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 – 17 กรกฎาคม 2535 เมื่อตีพิมพ์บทความเรื่อง “วันเลือกตั้ง : บทสุดท้ายหรือบทเริ่มต้นของพลังประชาธิปไตย” และเมื่อเดือนเมษายน 2537 เมื่อตีพิมพ์บทความ “คอนสติติวชั่นแนลลิสม์ (Constitutionalism) : ทางออกของประเทศไทย” ทั้ง 2 บทเป็นงานเขียนของท่านศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
ในฐานะการเคลื่อนไหวมวลชน เริ่มต้นนับแต่วินาทีที่กล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2548 ณ สวนลุมพินี หลังจบรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร
เป็นคำกล่าวปฏิญาณที่พยายามกลั่นกรองและประยุกต์มาจากแนวทางที่ดำเนินมาในฐานะสื่อ 13 ปีก่อนหน้านั้น
ต่อไปนี้คือเนื้อหาของคำปฏิญาณที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวนำให้พวกเรากล่าวตาม
..............
ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
สถานการณ์ของประเทศไทย ณ บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าวิกฤตกำลังเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ทั้งวิกฤตทางสังคม วิกฤตทางจริยธรรม วิกฤตทางเศรษฐกิจ และวิกฤตทางการเมือง เป็นวิกฤตที่ไม่อาจขจัดปัดเป่าได้ด้วยระบอบการเมืองและคณะผู้นำทางการเมืองที่ดำรงอยู่ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยได้รับการหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในสังคมไทยอย่างกว้างขวางในลักษณะไม่เคยปรากฏมาก่อน นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากแต่เป็นสัจธรรมที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำไร้คุณธรรม เมื่อนั้นประชาชนจะถวิลหาพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวของพสกนิกรชาวไทย คือใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ทรงอยู่ในราชสมบัติมาต่อเนื่องยาวนาน ไม่แพ้กษัตริย์พระองค์ใดในโลก รวมแล้ว 59 ปีเต็ม นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 ปีหน้าจะครบ 60 ปีเต็ม จึงทำให้ทรงรู้ ทรงเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในบ้านเมืองมาตลอด เป็นแหล่งสะสมประสบการณ์ของบ้านเมืองไว้มากที่สุด มากกว่ารัฐสภา มากกว่ารัฐบาล ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ไม่ได้ทรงมีบารมีขึ้นมาจากทฤษฎีการเมืองใด หากแต่โดยการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อพสกนิกร
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯทรงพิสูจน์พระองค์แล้วว่าเป็นสัจจะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯทรงยุติวิกฤติในบ้านเมืองลงได้หลายครั้งหลายหน นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สงครามการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สงครามกับความยากจนผ่านโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เหตุการณ์ 17-20 พฤษภาคม 2535 และที่สำคัญที่สุดก็คือการพระราชทานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ ที่พิจารณาอย่างถึงที่สุดแล้วคือฉันทมติกรุงรัตนโกสินทร์ ที่หากได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจังทั้งสังคมภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีจิตสำนึกแล้ว ย่อมเป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพ สามารถต่อกรกับฉันทมติกรุงวอชิงตันได้
ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในอดีตที่ก่อให้เกิดการนำแนวคิดของระบอบกึ่งประธานาธิบดีมาผสมผสานในโครงการสร้างพื้นฐานทางการเมืองของประเทศไทยโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ด้วยมาตรการหลาย ๆ ประการที่มอบอำนาจ เอกสิทธิ์ และอภิสิทธิ์ให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงบังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง และการให้ย้ายออกจากพรรคการเมืองทำได้ยากขึ้นนั้น เมื่อนำมาใช้ในประเทศไทย ภายใต้สภาพสังคมวิทยาทางการเมืองที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเงื่อนไขเดิม กล่าวคือ ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจระหว่างชนบทกับเมือง วัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึก และการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ เมื่อประกอบส่วนเข้ากับลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่นำพาลัทธิบริโภคนิยมเข้าครอบงำจิตสำนึกและจิตวิญญาณของคนไทย รวมทั้งวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่เปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ของกลุ่มทุนในประเทศไทย ทำให้การเมืองใหม่กลายเป็นการเมืองผูกขาดของเงินที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้รัฐบาลที่มาจากพันธมิตรกลุ่มทุนใหม่เป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทำให้ผู้นำของรัฐบาลใหม่ที่มาจากพันธมิตรของกลุ่มทุนใหม่ เป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความอหังการ มมังการ เย่อหยิ่ง จองหอง และไม่สนใจขนบประเพณีใด ๆ กับทั้งมีพฤติกรรมในลักษณะละเมิดพระราชอำนาจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
กลุ่มทุนผูกขาดที่เข้าครองอำนาจรัฐได้ใช้อำนาจรัฐนั้นปกป้องและขยายฐานทางธุรกิจของตนเองด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง และบิดเบือนการใช้อำนาจหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งฉ้อฉลนำทรัพย์สมบัติของแผ่นดินมาแบ่งปันกันในหมู่พวกพ้องโดยอาศัยนวัตกรรมของลัทธิเสรีนิยมใหม่จนก่อให้เกิดสภาพผูกขาดทางธุรกิจ ที่จะเป็นวัฏจักรนำไปสู่การผูกขาดทางการเมืองให้กระชับแน่นขึ้นอีก
วัฏจักรอุบาทว์ใหม่นี้จะยุติลงได้ด้วยหลักราชประชาสมาสัย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน อันเป็นหลักนิติธรรมดั้งเดิมของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า กลุ่มทุนผูกขาดที่เข้ามาครองอำนาจรัฐต้องการสร้างหลักนิติธรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อลบล้างหลักนิติธรรมเดิมที่ว่าด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนนี้ลง โดยให้รัฐบาลที่อ้างว่ามาจากความชอบธรรม จากการชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง
ปวงข้าพระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขที่ว่า รัฐบาลยังเป็นตัวแทนของประชาชน ตราบเท่าที่รัฐบาลยังยึดมั่นในครองแห่งธรรม ตราบเท่าที่รัฐบาลนั้นยังคงซื่อสัตย์ต่อพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และตราบเท่าที่รัฐบาลนั้นสัตย์ซื่อในคำปฏิญาณที่มีไว้ให้กับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รัฐบาลนั้นยังเป็นตัวแทนของประชาชน
สถานการณ์ของชาติบ้านเมืองในเวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการแก้ไข ปรับปรุงรายละเอียดของรัฐธรรมนูญด้วยแนวทางสันติวิธี และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการถวายพระราชอำนาจคืนแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมืองเพื่อดำเนินการจัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ ผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ที่อย่างน้อยจะต้องมีสารัตถะไม่บังคับผู้สมัครส.ส.สังกัดพรรคการเมือง ไม่มีมาตรการทำลายพรรคขนาดเล็ก นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง และจัดระบบที่มาของวุฒิสภาเสียใหม่ไม่ให้เป็นช่องทางแทรกแซงของพรรคการเมือง รวมทั้งจะต้องมีมาตรการพิเศษเฉพาะหน้าเพื่อการขจัดคอร์รัปชั่นในโครงการใหญ่ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
โครงสร้างทางการเมืองใหม่ที่มาจากการพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมืองของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทนี้ ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้ออกเสียงเป็นประชามติก่อนประกาศใช้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักของราชประชาสมาศรัย เป็นความอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
.......
นี่คือเทียนเล่มแรก
แม้จะมอดไหม้ไปกว่าครึ่งกว่าค่อน
แต่ยังคงเปล่งประกายสว่างจ้าเจิดจรัสทั่วทุกหนทุกแห่งบนแผ่นดินนี้
ทั้งจากเทียนเล่มแรกนี้ และจากเทียนเล่มอื่นเป็นล้าน ๆ เล่มที่จุดต่อ ๆ กันมา
ในฐานะสื่อที่เลือกข้างความถูกต้องและความเป็นธรรม เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2535 ผ่านทิศทางหน้าการเมืองและหน้าบทความของนสพ.ผู้จัดการรายวัน โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 – 17 กรกฎาคม 2535 เมื่อตีพิมพ์บทความเรื่อง “วันเลือกตั้ง : บทสุดท้ายหรือบทเริ่มต้นของพลังประชาธิปไตย” และเมื่อเดือนเมษายน 2537 เมื่อตีพิมพ์บทความ “คอนสติติวชั่นแนลลิสม์ (Constitutionalism) : ทางออกของประเทศไทย” ทั้ง 2 บทเป็นงานเขียนของท่านศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
ในฐานะการเคลื่อนไหวมวลชน เริ่มต้นนับแต่วินาทีที่กล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2548 ณ สวนลุมพินี หลังจบรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร
เป็นคำกล่าวปฏิญาณที่พยายามกลั่นกรองและประยุกต์มาจากแนวทางที่ดำเนินมาในฐานะสื่อ 13 ปีก่อนหน้านั้น
ต่อไปนี้คือเนื้อหาของคำปฏิญาณที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวนำให้พวกเรากล่าวตาม
..............
ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
สถานการณ์ของประเทศไทย ณ บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าวิกฤตกำลังเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ทั้งวิกฤตทางสังคม วิกฤตทางจริยธรรม วิกฤตทางเศรษฐกิจ และวิกฤตทางการเมือง เป็นวิกฤตที่ไม่อาจขจัดปัดเป่าได้ด้วยระบอบการเมืองและคณะผู้นำทางการเมืองที่ดำรงอยู่ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยได้รับการหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในสังคมไทยอย่างกว้างขวางในลักษณะไม่เคยปรากฏมาก่อน นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากแต่เป็นสัจธรรมที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำไร้คุณธรรม เมื่อนั้นประชาชนจะถวิลหาพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวของพสกนิกรชาวไทย คือใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ทรงอยู่ในราชสมบัติมาต่อเนื่องยาวนาน ไม่แพ้กษัตริย์พระองค์ใดในโลก รวมแล้ว 59 ปีเต็ม นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 ปีหน้าจะครบ 60 ปีเต็ม จึงทำให้ทรงรู้ ทรงเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในบ้านเมืองมาตลอด เป็นแหล่งสะสมประสบการณ์ของบ้านเมืองไว้มากที่สุด มากกว่ารัฐสภา มากกว่ารัฐบาล ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ไม่ได้ทรงมีบารมีขึ้นมาจากทฤษฎีการเมืองใด หากแต่โดยการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อพสกนิกร
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯทรงพิสูจน์พระองค์แล้วว่าเป็นสัจจะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯทรงยุติวิกฤติในบ้านเมืองลงได้หลายครั้งหลายหน นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สงครามการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สงครามกับความยากจนผ่านโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เหตุการณ์ 17-20 พฤษภาคม 2535 และที่สำคัญที่สุดก็คือการพระราชทานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ ที่พิจารณาอย่างถึงที่สุดแล้วคือฉันทมติกรุงรัตนโกสินทร์ ที่หากได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจังทั้งสังคมภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีจิตสำนึกแล้ว ย่อมเป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพ สามารถต่อกรกับฉันทมติกรุงวอชิงตันได้
ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในอดีตที่ก่อให้เกิดการนำแนวคิดของระบอบกึ่งประธานาธิบดีมาผสมผสานในโครงการสร้างพื้นฐานทางการเมืองของประเทศไทยโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ด้วยมาตรการหลาย ๆ ประการที่มอบอำนาจ เอกสิทธิ์ และอภิสิทธิ์ให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงบังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง และการให้ย้ายออกจากพรรคการเมืองทำได้ยากขึ้นนั้น เมื่อนำมาใช้ในประเทศไทย ภายใต้สภาพสังคมวิทยาทางการเมืองที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเงื่อนไขเดิม กล่าวคือ ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจระหว่างชนบทกับเมือง วัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึก และการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ เมื่อประกอบส่วนเข้ากับลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่นำพาลัทธิบริโภคนิยมเข้าครอบงำจิตสำนึกและจิตวิญญาณของคนไทย รวมทั้งวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่เปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ของกลุ่มทุนในประเทศไทย ทำให้การเมืองใหม่กลายเป็นการเมืองผูกขาดของเงินที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้รัฐบาลที่มาจากพันธมิตรกลุ่มทุนใหม่เป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทำให้ผู้นำของรัฐบาลใหม่ที่มาจากพันธมิตรของกลุ่มทุนใหม่ เป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความอหังการ มมังการ เย่อหยิ่ง จองหอง และไม่สนใจขนบประเพณีใด ๆ กับทั้งมีพฤติกรรมในลักษณะละเมิดพระราชอำนาจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
กลุ่มทุนผูกขาดที่เข้าครองอำนาจรัฐได้ใช้อำนาจรัฐนั้นปกป้องและขยายฐานทางธุรกิจของตนเองด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง และบิดเบือนการใช้อำนาจหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งฉ้อฉลนำทรัพย์สมบัติของแผ่นดินมาแบ่งปันกันในหมู่พวกพ้องโดยอาศัยนวัตกรรมของลัทธิเสรีนิยมใหม่จนก่อให้เกิดสภาพผูกขาดทางธุรกิจ ที่จะเป็นวัฏจักรนำไปสู่การผูกขาดทางการเมืองให้กระชับแน่นขึ้นอีก
วัฏจักรอุบาทว์ใหม่นี้จะยุติลงได้ด้วยหลักราชประชาสมาสัย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน อันเป็นหลักนิติธรรมดั้งเดิมของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า กลุ่มทุนผูกขาดที่เข้ามาครองอำนาจรัฐต้องการสร้างหลักนิติธรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อลบล้างหลักนิติธรรมเดิมที่ว่าด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนนี้ลง โดยให้รัฐบาลที่อ้างว่ามาจากความชอบธรรม จากการชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง
ปวงข้าพระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขที่ว่า รัฐบาลยังเป็นตัวแทนของประชาชน ตราบเท่าที่รัฐบาลยังยึดมั่นในครองแห่งธรรม ตราบเท่าที่รัฐบาลนั้นยังคงซื่อสัตย์ต่อพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และตราบเท่าที่รัฐบาลนั้นสัตย์ซื่อในคำปฏิญาณที่มีไว้ให้กับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รัฐบาลนั้นยังเป็นตัวแทนของประชาชน
สถานการณ์ของชาติบ้านเมืองในเวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการแก้ไข ปรับปรุงรายละเอียดของรัฐธรรมนูญด้วยแนวทางสันติวิธี และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการถวายพระราชอำนาจคืนแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมืองเพื่อดำเนินการจัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ ผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ที่อย่างน้อยจะต้องมีสารัตถะไม่บังคับผู้สมัครส.ส.สังกัดพรรคการเมือง ไม่มีมาตรการทำลายพรรคขนาดเล็ก นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง และจัดระบบที่มาของวุฒิสภาเสียใหม่ไม่ให้เป็นช่องทางแทรกแซงของพรรคการเมือง รวมทั้งจะต้องมีมาตรการพิเศษเฉพาะหน้าเพื่อการขจัดคอร์รัปชั่นในโครงการใหญ่ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
โครงสร้างทางการเมืองใหม่ที่มาจากการพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมืองของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทนี้ ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้ออกเสียงเป็นประชามติก่อนประกาศใช้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักของราชประชาสมาศรัย เป็นความอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
.......
นี่คือเทียนเล่มแรก
แม้จะมอดไหม้ไปกว่าครึ่งกว่าค่อน
แต่ยังคงเปล่งประกายสว่างจ้าเจิดจรัสทั่วทุกหนทุกแห่งบนแผ่นดินนี้
ทั้งจากเทียนเล่มแรกนี้ และจากเทียนเล่มอื่นเป็นล้าน ๆ เล่มที่จุดต่อ ๆ กันมา