ASTVผู้จัดการรายวัน - แสนสิริเผยเศรษฐกิจชะลอตัวฉุดยอดขายวูบ ปรับลดประมาณการณ์รายได้ปี 56 จาก 3.5 หมื่นล้านเหลือ 3 หมื่นล้าน ขณะที่ยอดขายลดเหลือ 4 หมื่นล้าน ยืนยันปี 57 เปิดตัวโครงการใหม่น้อยกว่า 40 โครงการ โดยเฉพาะคอนโดฯ ต่างจังหวัด หันส่งบ้านแนวราบลุยตลาดแทน ล่าสุดเปิดโรงงานพรีคลาส เฟส 2 ผลิตแผนพนังคอนโดฯ หวังช่วยซัพพอร์ตไลน์ก่อสร้างในภาวะสินค้าขาดตลาด
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า นับจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาแสดงความกังวลเรื่องภาวะหนี้เรื่อนเพิ่มสูงขึ้น จนเป็นเหตุธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้บริโภค ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รวมถึงในช่วงปลายปีเกิดปัญหาความไม่สงบทางการเมืองขึ้นทำให้การขายที่อยู่อาศัยลดลงตาม
“ปัจจุบันพบว่าผู้บริโภคทิ้งเงินดาวน์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3-4% จากเดิมมีเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจก่อน ที่ผ่านมาบริษัทจะเก็บเงินดาวน์ในกลุ่มนี้ที่ 5-10% แต่ปัจจุบันได้ปรับเพิ่มเป็น 12-15% ซึ่งถือว่าสูงมากแล้ว เนื่องจากผู้บริโคกลุ่มนี้มีเงินออมน้อยหากเพิ่มเงินดาวน์สูงกว่านี้ ผู้บริโภคจะไม่มีกำลังซื้อ” นายวันจักร์กล่าว
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้บริษัทได้ปรับลดประมาณการณ์รายได้ลงเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยในส่วนของยอดขายจากเดิมต้นปีตั้งเป้าไว้ 48,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 45,000 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ลดลงจาก 35,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 30,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาดและจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีนี้ รวมถึงปัญหาการส่งออกลดลง
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งจะทำให้โครงการ 2 ล้านล้านบาท โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ถูกชะลอออกไป จะส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 57 ดังนั้นบริษัทจึงวางแผนการลงทุนในปี 57 ในอัตราทรงตัวใกล้เคียงกับปีนี้ทั้งในแง่ยอดขายและรายได้
ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่คาดว่านั้นจะน้อยกว่า 40 โครงการ ลดลงจากปีนี้ที่เปิดตัว 49 โครงการ โดยจะให้น้ำหนักโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น สัดส่วนโครงการแนวราบ 60% คอนโดมิเนียม 40% จากเดิมคอนโดฯมีสัดส่วนถึง 50% ของพอร์ต โดยเฉพาะการลงทุนในต่างจังหวัดจะใช้โครงการแนวราบในการรุกตลาด จากเดิมที่ปีนี้ใช้คอนโดฯรุกตลาด โดยสัดส่วนการลงทุนพัฒนาโครงการต่างจังหวัดเหลือประมาณ 30-35% จากเดิม 40% ส่วนการลงทุนในกรุงเทพและปริมณฑล 65-70%
ล่าสุดแสนสิริฯได้เปิดตัวโรงงานพรีคาสท์แห่งที่ 2 ย่านลำลูกกาคลอง 10 ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงงานแห่งที่ 1บนพื้นที่ประมาณ 17 ไร่ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 160 ล้านบาทแบ่งเป็นพื้นที่การผลิตประมาณ 7,200 ตารางเมตร และพื้นที่จัดเก็บประมาณ 3,600 ตารางเมตร ผลิตชิ้นงาน พื้น, คาน, บันได และชิ้นงานตกแต่งอื่นๆ
นอกจากนี้ยังผลิตชิ้นส่วนงานผนังพรีคาสท์ สำหรับโครงการคอนโดฯ กำลังผลิต 10 อาคาร/ปี หรือ 40,000 ตร.ม./ปีนายวันจักร์ กล่าวต่อว่า การลงทุนสร้างโรงงานพรีคาสท์ดังกล่าว แม้ไม่ช่วยซัพพอร์ตการก่อสร้างทั้งหมดของบริษัท แต่จะช่วยแก้ปัญหาในช่วงที่วัสดุขาดแคลน หรือในกรณีที่ซัพพลายเออร์ไม่สามารถส่งสินค้าให้ได้
อย่างไรก็ตามโรงงานแห่งที่2 นี้จะสามารถรองรับการผลิตได้ 2-3 ปี หลังจากนั้นจะดูสภาวะตลาดอีกครั้งหนึ่ง เพราะบริษัทฯยังมีที่ดินบริเวณด้านหลังอีกประมาณ 50 ไร่ สามารถก่อสร้างโรงงานรองรับได้อีก 2 แห่งสำหรับโรงงาน
พรีคาสท์ในเฟสแรกหรือโรงงานแรก บนพื้นที่ 40 ไร่ ซึ่งใช้ในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับก่อสร้างผนังที่อยู่อาศัยประเภททาวเฮาส์ บ้านเดี่ยวทั้งในแบรนด์ ฮาบิเทีย,สราญสิริ,บุราสิริ และ เศรษฐสิริ รวมถึงบ้านเดี่ยวแบรนด์ล่าสุดในปีนี้ ได้แก่ คณาสิริ ทั้งในโครงการคณาสิริ วงแหวน –พระราม 5 และคณาสิริ บางนา ปัจจุบันมีกำลังผลิตที่ 52,000 ตารางเมตร/เดือน หรือประมาณ 150 ยูนิต
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า นับจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาแสดงความกังวลเรื่องภาวะหนี้เรื่อนเพิ่มสูงขึ้น จนเป็นเหตุธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้บริโภค ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รวมถึงในช่วงปลายปีเกิดปัญหาความไม่สงบทางการเมืองขึ้นทำให้การขายที่อยู่อาศัยลดลงตาม
“ปัจจุบันพบว่าผู้บริโภคทิ้งเงินดาวน์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3-4% จากเดิมมีเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจก่อน ที่ผ่านมาบริษัทจะเก็บเงินดาวน์ในกลุ่มนี้ที่ 5-10% แต่ปัจจุบันได้ปรับเพิ่มเป็น 12-15% ซึ่งถือว่าสูงมากแล้ว เนื่องจากผู้บริโคกลุ่มนี้มีเงินออมน้อยหากเพิ่มเงินดาวน์สูงกว่านี้ ผู้บริโภคจะไม่มีกำลังซื้อ” นายวันจักร์กล่าว
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้บริษัทได้ปรับลดประมาณการณ์รายได้ลงเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยในส่วนของยอดขายจากเดิมต้นปีตั้งเป้าไว้ 48,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 45,000 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ลดลงจาก 35,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 30,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาดและจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีนี้ รวมถึงปัญหาการส่งออกลดลง
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งจะทำให้โครงการ 2 ล้านล้านบาท โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ถูกชะลอออกไป จะส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 57 ดังนั้นบริษัทจึงวางแผนการลงทุนในปี 57 ในอัตราทรงตัวใกล้เคียงกับปีนี้ทั้งในแง่ยอดขายและรายได้
ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่คาดว่านั้นจะน้อยกว่า 40 โครงการ ลดลงจากปีนี้ที่เปิดตัว 49 โครงการ โดยจะให้น้ำหนักโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น สัดส่วนโครงการแนวราบ 60% คอนโดมิเนียม 40% จากเดิมคอนโดฯมีสัดส่วนถึง 50% ของพอร์ต โดยเฉพาะการลงทุนในต่างจังหวัดจะใช้โครงการแนวราบในการรุกตลาด จากเดิมที่ปีนี้ใช้คอนโดฯรุกตลาด โดยสัดส่วนการลงทุนพัฒนาโครงการต่างจังหวัดเหลือประมาณ 30-35% จากเดิม 40% ส่วนการลงทุนในกรุงเทพและปริมณฑล 65-70%
ล่าสุดแสนสิริฯได้เปิดตัวโรงงานพรีคาสท์แห่งที่ 2 ย่านลำลูกกาคลอง 10 ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงงานแห่งที่ 1บนพื้นที่ประมาณ 17 ไร่ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 160 ล้านบาทแบ่งเป็นพื้นที่การผลิตประมาณ 7,200 ตารางเมตร และพื้นที่จัดเก็บประมาณ 3,600 ตารางเมตร ผลิตชิ้นงาน พื้น, คาน, บันได และชิ้นงานตกแต่งอื่นๆ
นอกจากนี้ยังผลิตชิ้นส่วนงานผนังพรีคาสท์ สำหรับโครงการคอนโดฯ กำลังผลิต 10 อาคาร/ปี หรือ 40,000 ตร.ม./ปีนายวันจักร์ กล่าวต่อว่า การลงทุนสร้างโรงงานพรีคาสท์ดังกล่าว แม้ไม่ช่วยซัพพอร์ตการก่อสร้างทั้งหมดของบริษัท แต่จะช่วยแก้ปัญหาในช่วงที่วัสดุขาดแคลน หรือในกรณีที่ซัพพลายเออร์ไม่สามารถส่งสินค้าให้ได้
อย่างไรก็ตามโรงงานแห่งที่2 นี้จะสามารถรองรับการผลิตได้ 2-3 ปี หลังจากนั้นจะดูสภาวะตลาดอีกครั้งหนึ่ง เพราะบริษัทฯยังมีที่ดินบริเวณด้านหลังอีกประมาณ 50 ไร่ สามารถก่อสร้างโรงงานรองรับได้อีก 2 แห่งสำหรับโรงงาน
พรีคาสท์ในเฟสแรกหรือโรงงานแรก บนพื้นที่ 40 ไร่ ซึ่งใช้ในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับก่อสร้างผนังที่อยู่อาศัยประเภททาวเฮาส์ บ้านเดี่ยวทั้งในแบรนด์ ฮาบิเทีย,สราญสิริ,บุราสิริ และ เศรษฐสิริ รวมถึงบ้านเดี่ยวแบรนด์ล่าสุดในปีนี้ ได้แก่ คณาสิริ ทั้งในโครงการคณาสิริ วงแหวน –พระราม 5 และคณาสิริ บางนา ปัจจุบันมีกำลังผลิตที่ 52,000 ตารางเมตร/เดือน หรือประมาณ 150 ยูนิต