บมจ.นามยง เทอร์มินัล หรือ NYT ตรียมเสนอขายหุ้นสามัญ IPO ในราคา 11.90 บาท/หุ้น พร้อมเปิดจองระหว่าง 13 - 15 พฤศจิกายนนี้ ก่อนเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 25 พฤศจิกายน เซ็นสัญญาแต่งตั้ง บล. ทิสโก้ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยมี 6 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำเข้าร่วมเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ด้าน บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์มั่นใจกระแสตอบรับดี ขณะที่ผู้บริหาร ชี้แนวโน้มธุรกิจหลัง AEC2558 โอกาสเติบโตสดใส จากฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย คาดยอดส่งออกผ่านท่าเทียบเรือ A5 ทะลุเกิน 1 ล้านคัน
นายเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. นามยง เทอร์มินัล จำกัด หรือ NYT กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงมาก เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของเอเชีย ประกอบกับไทยมีความพร้อมด้านแรงงานที่มีฝีมือในการประกอบรถยนต์ และมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เลือกไทยเป็นฐานการผลิตหลัก เพื่อการส่งออก
"ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่จากทั่วโลกให้ความสนใจเข้ามาตั้งฐานผลิตในไทยเพิ่มส่งออกมากขึ้น เนื่องจากไทย เป็นประเทศที่มีความพร้อมและศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังเติบโตได้อีกมาก ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลังไป 10 ปี พบว่าปริมาณการส่งออกยานยนต์ของไทยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 17.8 ต่อปี โดยคาดว่าปริมาณยอดส่งออกรถยนต์ของไทยจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ไทยจะส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดโลกประมาณ 1.5 ล้านคัน รั้งอันดับหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัท"
ในส่วนของความกังวลปัญหาสถานการความรุนแรงทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทนั้น นายเทพรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯไม่มีความกังวลด้านปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง เนื่องจากบริษัทฯดำเนินธุรกิจท่าเทียบเรือเพื่อการส่งออกรถยนต์ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจจากต่างประเทศเป็นหลัก ในขณะที่ยอดผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อการส่งออกของไทย มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตลอดทุกปี
อย่างไรก็ตามจากประมาณการณ์กำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าบริษัทฯจะมีกำไร 380 ล้านบาท จากรายได้ทั้งหมด 1.1 พันล้านบาท อย่างไรก็ดีในปีหน้าบริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 480 ล้านบาท จากรายได้โดยประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯยังมีการบริหารจัดการที่ดี ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 50% และอัตรากำไรสุทธิ 30% ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไรและรายได้ของบริษัทฯเป็นไปตามภาพรวมของการผลิตรถยนต์ในประเทศเพื่อการส่งออกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมาปริมาณการส่งออกรถยนต์ของไทยเติบโตเฉลี่ย 17% ต่อปี