ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-5 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก นับจากที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ให้ยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัฌชิมาธิปไตย กรณีที่กรรมการบริหารพรรคโกงการเลือกตั้ง
คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค จำนวน 109 คนถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
การยุบพรรคการเมืองและให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 237 นั้น ถือเป็นมาตรการยาแรงที่ออกมาเพื่อกำราบนักการเมืองโกงให้รู้จักเข็ดหลาบ ไม่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอีก เพื่อกลั่นกรองคนดีมีคุณภาพที่สุดเข้าสู่สภา
อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นกับการตัดสิทธิทั้ง 109 คน รวมไปถึงการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนเมื่อปี 2550 ทำให้เห็นว่า มาตรการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่โกงการเลือกตั้งนั้น ยังปราบนักการเมืองจอมขี้โกงไม่ได้
นั่นเพราะ นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิยังสามารถส่งนอมินีหรือหุ่นเชิดของตัวเองลงเลือกตั้ง หรือเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง เพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเองได้ตามเดิม
ดังกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถส่งนอมินีขึ้นเป็นนายกได้แล้วถึง 3 คน ตั้งแต่นายสมัคร สุนทรเวช ที่ยอมถูกเชิดขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเพราะอยากเป็นนายกฯ สักครั้งก่อนตาย ต่อด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตผู้พิพากษา ผู้เป็นน้องเขยของ นช.ทักษิณ และได้ดิบได้ดีเพราะพี่ภรรยาเกื้อหนุนมาตลอด และล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่มีสติปัญญาไม่มากพอจึงไม่อาจทัดทานคำสั่งจากพี่ชายได้
นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ก็ส่งน้องชาย คือ นายชุมพล ศิลปอาชา มาเป็นหัวหน้าพรรคที่ตั้งใหม่คือ ชาติไทยพัฒนา และยังส่งคนของตัวเองมาเป็นรัฐมนตรีคุม 2 กระทรวงในโควตาส่วนตัวคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา ได้โดยตลอด
แม้แต่นายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตั้งแต่ปี 2550 ก็ยังมีนอมินีของตัวเอง เข้าไปคุมกระทรวงคมนาคม ทั้งในช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
คำวินิจฉัยยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคฯ ตามมาตรา 237 จึงแทบจะไร้ความหมาย นั่นเพราะไม่อาจจะกีดกันคนที่มีพฤติกรรมทุจริตให้ไปอยู่นอกวงการเมืองได้
องค์กรที่จะต้องรับผิดต่อประเด็นปัญหานี้ คงหนีไม่พ้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ชุดที่เพิ่งหมดวาระไปหมาดๆ
นั่นเพราะ กกต.ชุดดังกล่าว เคยมีคำวินิจฉัยหลายครั้ง อันทำให้มาตรา 237 ต้องกลายเป็นหมัน ไม่สามารถบังคับได้ตามเจตนารมณ์
เริ่มตั้งแต่การยกคำร้องกรณีที่มีผู้ร้องเรียนนายเนวิน ชิดชอบ ไปช่วยผู้สมัคร ส.ส.ในอาณัติของตัวเอง หาเสียงเลือกตั้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี 2550 ทั้งที่นายเนวินถูกตัดสิทธิทางการเมืองแล้ว ต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีอิทธิพลต่อการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร แต่ กกต.ก็ตีความตามตัวอักษาว่า นายเนวินแค่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ได้มีข้อห้ามไปช่วยหาเสียงเลือกตั้ง
ในปี 2551 มีผู้ไปยื่นร้องต่อ กกต.ว่า พรรคพลังประชาชนมีพฤติกรรมเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปก่อนหน้านั้นเพราะกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
คณะอนุกรรมการฯ ของ กกต.ได้สรุปออกมาว่าพรรคพลังประชาชนมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นการกระทำการแทนพรรคไทยรักไทยจริง จากหลักฐานในช่วงการจัดตั้งพรรคพลังประชาชน โดยเฉพาะวีซีดีการปราศรัยของ นช.ทักษิณ ที่ระบุว่าหลังจากพรรคไทยรักไทยแตก สมาชิกแตกไปหมดแต่ต้องการทำงานให้ประชาชนจึงเห็นว่าควรมาตั้งพรรคพลังประชาชน เพราะฉะนั้นหากต้องการใช้ นช.ทักษิณทำงาน ก็ให้เลือกพรรคพลังประชาชนหรือ กรณีการแจกวีซีดี 1 ปีทักษิณ หรือกรณีความเคลื่อนไหวในการตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มีการพาดพิงถึง นช.ทักษิณ ที่เป็นไปตามการชี้นำของ นช.ทักษิณทั้งหมด รวมถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช ก็ออกมายอมรับตัวเองว่าเป็นนอมินีของ นช.ทักษิณ เป็นต้น
แต่อนุกรรมการฯ กลับบอกว่า ในกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ไม่มีบทบัญญัติใดที่รองรับว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นความผิด จึงเสนอให้ กกต.พิจารณาข้อเท็จจริง พยานหลักฐานและพยานแวดล้อมต่างๆ ประกอบข้อกฎหมาย ซึ่งการประชุม กกต.เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2551 ได้มีการเสนอให้สอบพยานเพิ่ม โดยให้เชิญ นช.ทักษิณ ชินวัตร และนายวีระ สมความคิด ในฐานะผู้ร้องกรณีดังกล่าวมาสอบเพิ่ม ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ นช.ทักษิณก็ยังไม่ได้ไปให้ข้อมูลแก่ กกต.หลังจากหนีออกนอกประเทศตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551
ความเห็นของ กกต.เมื่อปี 2551 จึงเป็นบรรทัดฐาน เมื่อมีผู้ยื่นร้องต่อ กกต.ในปี 2554 ให้ยุบพรรคเพื่อไทย เนื่องจากการดำเนินการของพรรคการเมืองนี้อยู่ภายใต้การสั่งการของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยมีการจัดทำป้ายหาเสียง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” กกต.จึงยกคำร้อง
การตีความของ กกต.ดังกล่าวจึงทำให้เจตนารมณ์ของมาตรา 237 ที่ต้องการจะกีดกันคนที่มีพฤติกรรมทุจริตไม่ให้เข้าสู่อำนาจทางการเมืองนั้น ไม่เป็นจริง
กรณีที่พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยนั้น ในเมื่อมีความเห็นออกมาว่าเป็นนอมินีจริง ก็เท่ากับว่า พรรคพลังประชาชนมีพฤติกรรมแบบเดียวกับพรรคไทยรักไทยที่เคยกระทำความผิดและต้องโทษยุบพรรคไปแล้ว เพราะฉะนั้นพรรคพลังประชาชนก็ควรจะได้รับโทษแบบเดียวกัน
แต่เมื่อไม่มีการลงโทษพรรคการเมืองที่ทำตัวเป็นนอมินี จึงทำให้นักการเมืองสามานย์ใช้หุ่นเชิดเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองหาผลประโยชน์เข้าตัวเองต่อไป
หลังจากพ้นโทษถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา บรรดาซากเน่าทางการเมือง 109 คน จึงแห่กันไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในเครือข่ายของตัวเองกันอย่างคับคั่ง
วันที่ 4 ธ.ค.นายบรรหาร ได้นำพรรคพวกบริวาร อาทิ นายจองชัย เที่ยงธรรม, นายประภัตร โพธสุธน, นายอนุรักษ์ จุรีมาศ, นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล, นายนิกร จำนง, น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา, นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วก็คือพรรคชาติไทยเปลี่ยนชื่อใหม่นั่นเอง
วันที่ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนานั้น นายบรรหารเจ้าของอมตะวาจา “เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง” อ้างกับสื่อมวลชนว่า พวกตนรอมานานหลังจากที่ถูกเว้นวรรค วันนี้ท้องฟ้าใสสว่างแล้ว หลุดพ้นจาก 5 ปี วันนี้ก็เป็นไทแก่ตัวเอง ทุกคนร่วมใจมาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา ตนขอให้วันนี้เป็นวันดี เหตุการณ์บ้านเมืองสงบเรียบร้อยให้ทำความเข้าใจกันได้
ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็นำลูกทีม อาทิ นายนพดล ปัทมะ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ นายสุธา ชันแสง ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.
นายสมชาย อดีตนายกฯ ที่ไร้ศักดิ์ศรีที่สุดคนหนึ่งยังมีหน้าให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเจื้อยแจ้วว่า ที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเพราะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่น่าศรัทธา ทั้งในตัวหัวหน้าพรรค ผู้บริหารพรรค แนวนโยบายพรรค
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนทั่วไปรู้ดีว่า นายสมชายสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ก็เพราะตัวเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มขี้ข้าของ นช.ทักษิณมากกว่า
ไม่น่าเชื่อว่า นักการเมืองอย่างนายบรรหาร นายสมชาย ที่เป็นตัวถ่วงให้การเมืองไทยล้าหลัง สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติมากมาย ยังคงกล้าชูคอกลับเข้าสู่การเมืองได้เหมือนที่ผ่านมาไม่เคยทำความผิดอะไรเลย
คนที่ทำให้มาตรา 237 หมดสภาพบังคับ ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ไปเต็มๆ