ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หากจะกล่าวถึง “ขี้ข้า” ที่ถวายตั้งตัวและหัวใจให้ระบอบทักษิณแล้วละก็ คงมิอาจที่จะกล่าวถึง 3 ชื่อดังต่อไปนี้
ชื่อแรก...แจ๊ด มีวันนี้เพราะพี่ให้
ชื่อที่สอง...สรยวย รวยจากกรรมกรข่าว
และชื่อที่สาม...มติชิน กระบอกเสียงคุณภาพของคนเสื้อแดง
ส่วน “ไอ้ริต” ไม่ต้องพูดถึง เพราะขึ้นทำเนียบอมตะนิรันดร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ภาพความเป็นขี้ข้าของชื่อทั้ง 3 ปรากฏให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และชัดจนไม่รู้จะชัดอย่างไรในการชุมนุมของมวลมหาประชาชนนับล้านคนที่ออกมารวมตัวที่ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา
แจ๊ดทุ่มสุดตัวด้วยการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อสยบการชุมนุมของประชาชนด้วยความตั้งใจ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแอบอ้างในทำนองนี้
และฉับพลันทันทีที่แจ๊ดให้ข่าว สื่อคุณภาพของคนเสื้อแดงคือ “มติชินและข่าวปด” ก็พร้อมใจกันพาดหัวตัวเป้งในวันรุ่งขึ้นทันที
ส่วนสรยวยก็มีพฤติกรรมไม่แตกต่างกัน เพราะขณะที่มวลมหาประชาชนออกมารวมตัวกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่สรยวยและสื่อค่ายนี้กลับนำเสนอข่าวน้อยนิด ประหนึ่งต้องการปิดหูปิดตาประชาชนจนสร้างความไม่พอใจกับประชาชนจำนวนมาก กระทั่งต้องยกขบวนกันไปทวงถามจุดยืนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา
วันนี้ชื่อทั้ง 3 ได้ถูกบันทึกไว้ในหัวใจของประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่า ทั้ง 3 ชื่อจะได้รับผลตอบแทนอย่างสาสมในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ไปที่เรื่องอื่นๆ กันบ้าง เริ่มจาก นันทนา นันทปถวี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภค บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด(มหาชน) เป็นประธานในการมอบรางวัลทองคำแท่งหนัก 10 บาท 1 รางวัลและสร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง 30 รางวัล ให้กับผู้โชคดีที่ร่วมสนุกกิจกรรม “คิดกลิ่นพฤกษาที่ชอบ คิดอารมณ์ที่ใช่ กับพฤกษานกแก้วพารวย” เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์พฤกษานกแก้วในการร่วมคิดกลิ่นสบู่พฤกษานกแก้วกลิ่นใหม่ที่ชอบ
ตามต่อด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรเครดิตกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดย นางอุบลรัตน์ บุษยะกนิษฐ์ (กลาง) ผู้บริหารสูงสุด - ทรัพยากรบุคคล ร่วมกับ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ นำนิสิต นักศึกษาฝึกงานในโครงการ Learn & Earn @ KTC และสื่อมวลชน ร่วมเป็นพี่เลี้ยงดูแลน้องๆ ผู้พิการทางสายตา ในกิจกรรม “เคทีซีชวนพี่จูงน้องท่องโลกวิทยาศาสตร์” เพื่อเปิดโลกทัศน์แห่งการเรียนรู้ และสร้างมิติแห่งการเป็น “ผู้ให้” อย่างยั่งยืน แก่นิสิตนักศึกษาในโครงการฯ พร้อมนำชมมัลติมีเดีย (3D) ภายในโดมดูดาว รวมทั้งนำน้องๆ สัมผัสและทดลองในส่วนของฐานปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ความรู้ทั่วไป ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี
และปิดท้ายกับ สุมนต์ วุฒิอุดมเลิศ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม เอนฟาโกร เอพลัส บริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน(ประเทศไทย) จำกัด เข้ามอบนมผงสำหรับเด็กและนมพร้อมดื่ม UHT จำนวน 150 ลัง มูลค่า 150,000 บาท แก่สภากาชาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยมี สมสิริ อนงคณะตระกูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เป็นผู้แทนรับมอบ ณ ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติ สภากาชาดไทย ถ.อังรีดูนังต์ กรุงเทพฯ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ...
ลุงอ้วน
managerweekend@yahoo.com
คอลัมน์// หนังสือน่าอ่าน
สายเลือดเดียวกัน
ไม่มีใครชอบสงคราม
และคงไม่มีใครอยากจะให้เหตุการณ์เลวร้ายเช่นนั้นเกิดขึ้น
เพราะสงครามนำมาซึ่งความตาย ความโหดร้ายและความสูญเสียที่สร้างความพินาศย่อยยับเหมือนฝันร้ายไม่รู้จบสิ้น
หนังสือเล่มนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวครอบครัวหนึ่ง ที่ต้องพลัดพรากจากกันด้วยภัยสงครามของนักล่าอาณานิคมฝรั่งเศสและอเมริกา ที่เข้ามาบุกรุกแผ่นดินลาว ซึ่งคนลาวผู้รักชาติได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับมหาอำนาจเพื่อรักษาแผ่นดินเกิดของตนที่รักยิ่งชีพ
หายนะจากการรุกรานของชาติตะวันตก ได้ส่งผลกระทบให้ “แม่ใจแก้ว” ที่เป็นตัวละครเอกของเรื่อง ผู้ซึ่งรักลูกทั้งสองดั่งแก้วตาดวงใจต้องพรากจากลูกชายคนโต ระหกระเหิน หนีเอาชีวิตรอด โดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะได้พบกันอีกหรือไม่
จนเมื่อชะตากรรมได้พาให้มาบรรจบพบกับลูกอีกครั้ง ทว่า การสู้รบจากสงครามได้ทำให้ลูกทั้งสองมีความเชื่อตามลัทธิที่ตนเองยึดถือ อันแฝงด้วยอุดมการณ์ที่แตกต่างกันทั้ง 2 ฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
กคนหนึ่งคือ ลูกชายที่มีอุดมการณ์อันแรงกล้าฝ่ายคอมมิวนิสต์ ผู้ซึ่งทำให้แม่ภาคภูมิใจด้วยความเสียสละ และรักชาติอย่างสูงส่ง ขณะที่อีกคนเป็นทหารรับใช้ชาติตะวันตก และยังไม่รู้ตัวว่าผู้เป็นแม่และน้องชายนั้นเป็นบุคคลที่เขาต้องกำจัด!
ด้วยหน้าที่ที่แตกต่างกันแต่มีสายเลือดเดียวกัน กับอีกคำตอบสุดท้าย ที่ต้องเลือกสักทาง
อ่านแล้วบีบคั้นอารมณ์ชนิดที่วางไม่ลงจริงๆ
สุดท้ายแล้วสายเลือดเดียวกันจะทำเช่นไร หรือความรักทั้งสามจะช่วยให้ยุติลงด้วยหัวใจที่มีจุดร่วมเดียวกัน
หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานของ “ดวงไซ หลวงพะสี” ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนหรือซีไรต์ของประเทศลาว ประจำปี 2012 ซึ่งผู้เขียน ถ่ายทอดเรื่องราวให้อ่านเข้าใจง่าย อีกทั้งยังทำให้รับรู้ถึงความรู้สึกของประชาชนชาวลาวที่ต้องสูญเสีย และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่รักบ้านเกิดเมืองนอนเต็มเปี่ยม ยอมแลกได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อภารกิจกู้ชาติ
อีกทั้งยังเปิดมุมมองประวัติศาสตร์ที่ประชาชนชาวลาวผู้รักชาติ เคยถูกกระทำย่ำยีจากชาติตะวันตก ให้รู้สึกสะเทือนใจ ปวดร้าวเช่นเดียวกับตัวละคร
นับว่าเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าของประเทศเพื่อนบ้านที่คนไทยควรหาซื้อมาอ่านเพื่อศึกษาเป็นอย่างยิ่ง