ระบุชัด หลังเปิดเออีซีจะมีผู้นำตลาดโลกจากนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และยุโรป ใช้วิธีเพิ่มต้นทุนบรรจุภัณฑ์และการขนส่งสูงกว่า 40% เพื่อทำตลาดในอาเซียน แนะผู้ประกอบการรับมือด้วยการเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตน้ำนม พร้อมเผยผลประกอบการปี 55 ครองอันดับผู้นำทั้งด้านยอดขายในประเทศ 1.8 หมื่นล้านบาท และการกระจายสินค้าที่ทำได้ 3.3 ร้านค้าภายใน 1 เดือน
นายวรเทพ รางชัยกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ดัชมิลล์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้นำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมในตลาดโลกคือประเทศนิวซีแลนด์มีปริมาณการส่งออกถึง 1 ใน 4 ของตลาดโลก ซึ่งเชื่อว่าหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะมีผู้ประกอบการจากประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ในยุโรปเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตน้ำนมโคดิบที่ต่ำกว่าประเทศไทยมาก
“เราอย่ามองว่าการเป็นผู้นำในอาเซียนก็พอแล้ว เพราะเมื่อเออีซีเกิดขึ้นย่อมมีผู้ประกอบการจากทั่วโลกเข้ามาทำตลาดในประเทศใดประเทศหนึ่งในอาเซียนได้ แม้อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมจะมีกำแพงภาษีสูงถึง 100% แต่นักลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเหลือ 0% ได้หากมีต้นทุนการผลิต หรือ Local Content สูงกว่า 40% ซึ่งถือว่าสามารถทำได้ง่ายมากเพียงใช้บรรจุภัณฑ์และอัตราค่าขนส่งในราคาสูงเท่านั้น”
ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น กลุ่มบริษัทดัชมิลล์จึงร่วมมือกับ 4 หน่วยงานภาครัฐในการลงนามในบันทึกความร่วมมือการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคเพื่อเตรียมความพร้อมสู่เออีซี โดยเฉพาะการรับมือกับผู้ประกอบการจากประเทศอื่นๆ นอกอาเซียน เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ทางแถบยุโรป
“ปัญหาสำคัญคือ หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมสามารถแข่งขันในตลาดอาเซียนได้อย่างมีศักยภาพ เพราะระยะเวลาอีกเพียงไม่ถึง 2 ปีถือว่าสั้นมาก ด้วยเหตุนี้วิธีป้องกันที่ดีที่สุดจึงเป็นการบุกเข้าไปเป็นผู้นำตลาด ซึ่งขณะนี้ดัชมิลล์ได้มีการจัดตั้งบริษัทและเป็นผู้นำตลาดในหลายประเทศแล้ว คือ ฟิลิปปินส์ ลาว และพม่า ส่วนกัมพูชาและเวียดนามกำลังอยู่ในระหว่างการเริ่มต้น”
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเน้นทำตลาดภายในประเทศเป็นหลักเนื่องจากเป็นฐานตลาดใหญ่ โดยขณะนี้กำลังให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาบุคลากรและศูนย์ดัชมิลล์ที่มีอยู่ 250 แห่งทั่วประเทศสามารถพัฒนาและขยายพื้นที่การจำหน่ายและบริการครอบคลุมเพิ่มขึ้นโดยไม่มีโครงการเพิ่มศูนย์ดัชมิลล์แต่อย่างใด โดยในปี 2555 บริษัทมียอดขายประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโตประมาณ 14% และคาดว่าในปี 2556 จะยังคงเติบโตขึ้นอีกประมาณ 20% ถือเป็นหนึ่งในสี่ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทย
ปัจจุบันบริษัทแบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 ประเภท คือ ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอไรซ์ และยูเอชที โดยในส่วนของการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมพาสเจอไรซ์ซึ่งมีความสดใหม่และมีระยะเวลาอยู่ในตลาดได้เพียง 20 วันนั้น บริษัทจะใช้รถยนต์ติดตั้งเครื่องทำความเย็นขนส่งไปยังศูนย์ดัชมิลล์ 250 แห่งทั่วประเทศเพื่อให้สาวดัชมิลล์ซึ่งมีประมาณ 5 พันคนทำหน้าที่ส่งตรงไปยังผู้บริโภค ส่วนผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีซึ่งมีอายุนาน 9 เดือนนั้นบริษัทใช้ช่องทางโมเดิร์นเทรด และร้านค้าทั่วไป
“เรามีกองทัพหน่วยรถ Big Blue ประมาณ 500 คัน พร้อมพนักงานประมาณ 1 พันคนทำหน้าที่กระจายสินค้าทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นความแข็งแกร่งของเราจนถือเป็นอันดับหนึ่งในการกระจายสินค้า เพราะสามารถกระจายสินค้าได้ถึง 3.3 แสนร้านค้าภายในเวลา 1 เดือน”