“นมวัวแดง” ทุ่ม 1,000 ล้านบาทรับเออีซีในช่วง 3 ปีนี้ พร้อมจ่อลุยจีน เล็งมณฑลกวางตุ้งเป็นตลาดแรก ล่าสุดแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ “โยเกิร์ตพร้อมดื่มยูเอชที ผสมคอลลาเจน” หวังปีแรกมีรายได้ 120 ล้านบาท ส่งรายได้รวมสิ้นปี 7,000 ล้านบาท โต 10%
นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตและจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์ค เปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง อ.ส.ค.กำลังร่างแผนงานการลงทุนรับตลาดเออีซีที่กำลังจะเกิดขึ้น เบื้องต้นในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้น่าจะใช้งบลงทุนอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 1. ในแง่กำลังการผลิตจะต้องเพิ่มขึ้นอีกราว 20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 500 ตัน/วัน คาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนราว 100-200 ล้านบาท 2. เพิ่มโรงงานผลิตนมยูเอชทีแห่งที่ 5 ที่จังหวัดลำปาง ลงทุนอีก 800 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 97 ไร่ รองรับเออีซีและจีนบางส่วน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการก่อสร้าง
ในส่วนจีนได้ติดต่อมาทาง อ.ส.ค.เพื่อต้องการนำเข้านมจากไทยสู่จีนแบบถูกกฎหมาย ขณะนี้เพียงรอสรุปผลเท่านั้น คาดว่าภายในอีก 1 เดือนหลังจากนี้จะทราบว่านมไทยจะผ่านกฎหมายจีนและสามารถนำเข้าไปจำหน่ายได้หรือไม่ ถ้าผ่านจีนจะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และจะนำมาซึ่งการวางแผนการลงทุนในส่วนของตลาดต่างประเทศใหม่อีกครั้ง โดยเบื้องต้นการเจรจาจะเริ่มที่มณฑลกวางตุ้งเป็นแห่งแรก
ส่วนตลาดเออีซีได้เริ่มแล้วที่ลาว และเขมร ผ่านตัวแทนจำหน่าย ส่วนพม่าจะเป็นการค้าขายทางชายแดน ซึ่งทาง อ.ส.ค.เล็งเข้าไปทำตลาดเองโดยผ่านตัวแทนจำหน่ายจากบริษัทไทยที่จะเข้าไปทำตลาดในพม่า คาดว่าจะสรุปผลได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ภายใน 5 ปี อ.ส.ค.ต้องการเข้าไปทำตลาดเออีซีให้ครบทุกประเทศ ถึงเวลานั้นเชื่อว่าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท หรือภายใน 5 ปี อ.ส.ค.จะมีรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นในประเทศ 7,000 ล้านบาท ต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท นมเปรี้ยว 1,000 ล้านบาท และแช่เย็น 1,000 ล้านบาท
ล่าสุดปีนี้ อ.ส.ค. พร้อมแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ โยเกิร์ตพร้อมดื่มยูเอชที ผสมคอลลาเจน วางจำหน่ายเฉพาะที่เซเว่นอีเลฟเว่น เบื้องต้นมี 2 กลิ่น คือ ส้ม และมะนาว เฉลี่ยราคากล่องละ 10 บาท หลังจากนี้เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตอีก 30 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวอีก 2 รสชาติ คาดว่าภายใน 1 ปีแรกจะมีรายได้ประมาณ 120 ล้านบาท โดยตั้งเป้า 5 ปีจะมีส่วนแบ่งที่ 5% ของมูลค่าตลาดนมเปรี้ยว 10,000 ล้านบาทที่เติบโตปีละ 10% โดยดัชมิลล์เป็นผู้นำ มีแชร์ 70% และอันดับสองคือ โฟรโมสต์ มีแชร์ 20%
สำหรับกลุ่มนมยูเอชที จะมุ่งพัฒนาด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกับฟาร์มจากโรงงานผลิต สู่การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยปีนี้คาดหวังว่าจะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 31% จาก 29% เป็นอันดับสามของตลาด รองจากโฟรโมสต์ที่มีแชร์ 47% และหนองโพ 45% หรือภายในสิ้นปีนี้ อ.ส.ค.ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 7,000 ล้านบาท โตขึ้น 10%
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ปัจจุบันราคาน้ำนมดิบยังเพียงพอต่อความต้องการ โดย อ.ส.ค. มีการรับซื้อจากเกษตรกว่า 500 ตันต่อวัน จากทั้งประเทศสามารถผลิตได้ถึง 3,000 ตันต่อวัน ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 80 สตางค์ในขณะนี้ เชื่อว่าจะต้องมีการหารือระหว่างภาคเกษตรกับผู้ประกอบการก่อนว่าจะมีการปรับขึ้นราคาต้นทุนน้ำนมดิบที่ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 18 บาทหรือไม่ แต่มีแนวโน้มจะยังคงตรึงราคานี้อยู่ได้ โดยจะมุ่งหาแนวทางลดต้นทุนด้านอื่นทดแทน
นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตและจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์ค เปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง อ.ส.ค.กำลังร่างแผนงานการลงทุนรับตลาดเออีซีที่กำลังจะเกิดขึ้น เบื้องต้นในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้น่าจะใช้งบลงทุนอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 1. ในแง่กำลังการผลิตจะต้องเพิ่มขึ้นอีกราว 20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 500 ตัน/วัน คาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนราว 100-200 ล้านบาท 2. เพิ่มโรงงานผลิตนมยูเอชทีแห่งที่ 5 ที่จังหวัดลำปาง ลงทุนอีก 800 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 97 ไร่ รองรับเออีซีและจีนบางส่วน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการก่อสร้าง
ในส่วนจีนได้ติดต่อมาทาง อ.ส.ค.เพื่อต้องการนำเข้านมจากไทยสู่จีนแบบถูกกฎหมาย ขณะนี้เพียงรอสรุปผลเท่านั้น คาดว่าภายในอีก 1 เดือนหลังจากนี้จะทราบว่านมไทยจะผ่านกฎหมายจีนและสามารถนำเข้าไปจำหน่ายได้หรือไม่ ถ้าผ่านจีนจะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และจะนำมาซึ่งการวางแผนการลงทุนในส่วนของตลาดต่างประเทศใหม่อีกครั้ง โดยเบื้องต้นการเจรจาจะเริ่มที่มณฑลกวางตุ้งเป็นแห่งแรก
ส่วนตลาดเออีซีได้เริ่มแล้วที่ลาว และเขมร ผ่านตัวแทนจำหน่าย ส่วนพม่าจะเป็นการค้าขายทางชายแดน ซึ่งทาง อ.ส.ค.เล็งเข้าไปทำตลาดเองโดยผ่านตัวแทนจำหน่ายจากบริษัทไทยที่จะเข้าไปทำตลาดในพม่า คาดว่าจะสรุปผลได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ภายใน 5 ปี อ.ส.ค.ต้องการเข้าไปทำตลาดเออีซีให้ครบทุกประเทศ ถึงเวลานั้นเชื่อว่าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท หรือภายใน 5 ปี อ.ส.ค.จะมีรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นในประเทศ 7,000 ล้านบาท ต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท นมเปรี้ยว 1,000 ล้านบาท และแช่เย็น 1,000 ล้านบาท
ล่าสุดปีนี้ อ.ส.ค. พร้อมแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ โยเกิร์ตพร้อมดื่มยูเอชที ผสมคอลลาเจน วางจำหน่ายเฉพาะที่เซเว่นอีเลฟเว่น เบื้องต้นมี 2 กลิ่น คือ ส้ม และมะนาว เฉลี่ยราคากล่องละ 10 บาท หลังจากนี้เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตอีก 30 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวอีก 2 รสชาติ คาดว่าภายใน 1 ปีแรกจะมีรายได้ประมาณ 120 ล้านบาท โดยตั้งเป้า 5 ปีจะมีส่วนแบ่งที่ 5% ของมูลค่าตลาดนมเปรี้ยว 10,000 ล้านบาทที่เติบโตปีละ 10% โดยดัชมิลล์เป็นผู้นำ มีแชร์ 70% และอันดับสองคือ โฟรโมสต์ มีแชร์ 20%
สำหรับกลุ่มนมยูเอชที จะมุ่งพัฒนาด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกับฟาร์มจากโรงงานผลิต สู่การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยปีนี้คาดหวังว่าจะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 31% จาก 29% เป็นอันดับสามของตลาด รองจากโฟรโมสต์ที่มีแชร์ 47% และหนองโพ 45% หรือภายในสิ้นปีนี้ อ.ส.ค.ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 7,000 ล้านบาท โตขึ้น 10%
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ปัจจุบันราคาน้ำนมดิบยังเพียงพอต่อความต้องการ โดย อ.ส.ค. มีการรับซื้อจากเกษตรกว่า 500 ตันต่อวัน จากทั้งประเทศสามารถผลิตได้ถึง 3,000 ตันต่อวัน ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 80 สตางค์ในขณะนี้ เชื่อว่าจะต้องมีการหารือระหว่างภาคเกษตรกับผู้ประกอบการก่อนว่าจะมีการปรับขึ้นราคาต้นทุนน้ำนมดิบที่ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 18 บาทหรือไม่ แต่มีแนวโน้มจะยังคงตรึงราคานี้อยู่ได้ โดยจะมุ่งหาแนวทางลดต้นทุนด้านอื่นทดแทน