เหตุแห่งทุกข์ คือสมุทัยของชาติและประชาชนที่แท้จริง คือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เพราะความมุ่งมาดปรารถนาอันสูงสุดของคณะราษฎรคือ “ธรรมนูญการปกครอง” แรกๆ ก็เรียกว่าระบอบรัฐธรรมนูญ ต่อมาคณะราษฎรสิ้นอำนาจตายกันไปหมด ยังมีผู้ปกครองรุ่นต่อมาๆ สืบทอดแนวคิดนี้ แต่บิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยหลงเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย
จุดเริ่มบิดเบือน จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในคณะราษฎร ที่เข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 (มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ซึ่งเป็นการเขียน บัญญัติขึ้นลอยๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงและที่ซ้ำร้ายก็คือ จอมพล ป.ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (รูปร่างหน้าตา ความเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรัฐประหารและรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรเลย) ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองบนถนนราชดำเนิน แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทำให้ผู้ปกครองรุ่นหลัง นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจผิดกันอย่างร้ายแรงที่สุดต่อชาติและแก้ไขยากที่สุดสำหรับไทยเราว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย จนทำให้มวลชนนักศึกษาในอดีต พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง ฯลฯ ยึดเอามาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ในท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งไป ครั้งนี้ดูแล้ว จะซ้ำรอยเดิมอีกแล้วนะ สุเทพ ..
ดังกล่าวโดยย่อนี้ เรียกกระบวนการทางการเมืองดังกล่าวนี้ว่า “ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ” ข้อสังเกตว่าลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ พวกเขาคิด ทำได้สองลักษณะเท่านั้น คือ 1) ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 2) แก้ไขรัฐธรรมนูญ
การกระทำทั้งสองอย่างนี้ นอกจากจะรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญให้คงไว้ให้ยืนยาวต่อไปแล้วแล้วยังจะกระชับระบอบเผด็จการให้หนักยิ่งขึ้น เข้มข้นขึ้น กู้มากขึ้น โกงชาติปล้นชาติมากขึ้นๆ ของรัฐบาลนั้นๆ
ดังนั้นการจะคิดร่วมกันแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ จะทำอย่างไร ในสถานการณ์ตอนนี้มวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมความมุ่งหมายของพวกเขาคือต้องการเปลี่ยนการเมืองให้ยุติธรรม ให้เป็นการเมืองของปวงชนที่แท้จริง
ดังนั้นความเป็นไปได้ของการปฏิวัติสันติโดยมวลมหาประชาชนที่แท้จริง คือการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ มีความถูกต้องยิ่งใหญ่ทางเดียวเท่านั้นคือ ย้อนกลับไปสู่แนวทางที่ถูกต้องดังเดิมโดยสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงมีแนวคิดจะสถาปนา “หลัก Democracy” คือแนวทางพระราชทานหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย
แต่แนวทางของพระองค์ก็ถูกทำลายลงเสียด้วยการทำรัฐประหารของคณะราษฎร เมื่อ 24 มิถุนายน 2475โดยมีแนวทางกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งปัญญาชนทั้งหลายต่างก็ได้พิสูจน์มา 81 ปีแล้วว่าเป็นแนวทางการเมืองที่ผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติและประชาชนล้านเปอร์เซ็นต์
ท่านทั้งหลายจึงเห็นแนวทางการเมืองของชาติสองแนวทางใหญ่ๆ คือ
1) แนวทางสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (ถูกต้องยิ่งนัก)
2) แนวทางร่างใหม่และแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ผิดซ้ำซาก)
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นระบอบเผด็จการที่แยบยลที่สุด เพราะระบอบนี้ให้ระบบรัฐสภาเป็นรูปการปกครอง (Form of Government) และมีวิธีการการเลือกตั้ง จึงหลอกและบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ความเป็นจริง กฎหมายรัฐธรรมนูญ หน้าที่ของกฎหมายมีหน้าที่รักษาระบอบหรือสะท้อนระบอบหรือเป็นเครื่องมือของหลักการปกครองฯ แต่ 81 ปีหลักการปกครองโดยธรรมยังไม่เคยมีการสถาปนา แล้วกฎหมายรัฐธรรมนูญมันจะสะท้อน รักษาระบอบอะไรไว้ อีกทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญมันก็ไม่สามารถเป็นระบอบอะไรๆ ได้ นี่คือความถูกต้องทางด้านรัฐศาสตร์
พูดง่ายๆ ว่า จะเอาวิธีการมาเป็นจุดหมายได้อย่างไร วิธีการก็ต้องเป็นวิธีการเพื่อไปสู่จุดหมาย เช่น รถยนต์เป็นเครื่องมือ วิธีการหนึ่งไปสู่จุดหมาย หากเราเอาเครื่องมาเป็นจุดหมายแล้ว เราจะไปสู่จุดหมายได้อย่างไร ฉันใด
การที่ผู้ปกครองเอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นจุดหมาย หรือเป็นระบอบ มันก็ไม่ได้ ฉันนั้น มันจึงเป็นกระบวนการหลอกลวงประชาชนที่ยาวนานที่สุดในโลก เพื่อจะเอาประโยชน์และเป็นหนทางปล้นชาติได้ง่ายที่สุด และเป็นระบอบการเมืองที่ขัดกับสถาบันหลักของชาติมาตลอดนั่นเอง
ในเมื่อไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน ไม่มีหลักนิติธรรมแห่งชาติ ไม่มีกฎหมายความมั่นคงแห่งรัฐที่แท้จริง ฯลฯ
ดังนั้น รัฐบาลทุกรัฐบาล เป็นนายของกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือของรัฐบาล รัฐบาลจึงกลายเป็นตัวระบอบ รัฐบาลคือกลุ่มพรรคการเมืองและนายทุนสนับสนุนเพียงหยิบมือเดียว จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการ พวกเขาใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาใช้วิธีการเลือกตั้ง เมือระบอบเป็นเผด็จการการเลือกตั้งก็ย่อมเป็นระบอบเผด็จการไปด้วย ดูรูปประกอบ
จะเห็นได้ว่า การเมืองการปกครองเผด็จการดังกล่าวนี้ จึงหาความยุติธรรมต่อประชาชนไม่ได้ ประชาชนจะได้รับแต่อคติ ความโลภของนักการเมืองและนายทุนผู้สนับสนุน ชัยชนะทางการเมืองขึ้นอยู่กับเงินซื้อเสียง ท่านทั้งหลายจึงเห็นปรากฏการณ์หรือผลทางการเมืองคือความขัดแย้งทำลายกันเองเพื่อแย่งชิง กู้เงิน ปล้นชาติ รัฐประหาร กระทั่ง อัปรีย์ไป-จัญไรมา ไม่สิ้นสุด และที่ร้ายที่สุดคือประชาชนต่างก็ตกเป็นทาสทางการเมืองของพรรคการเมืองเมื่อไปเลือกตั้ง กลายเป็นเลือกโจรให้ปล้นชาติบ้านเมือง
ดังนั้นแนวทางที่ถูกต้องยิ่งใหญ่มีทางเดียวที่มวลมหาประชาชน และปัญญาชนทั้งหลายที่จะได้ร่วมกันเสนอในฐานะพสกนิกรผู้จงรักภักดีอย่างมีปัญญาที่ทำได้คือ นั่งลงถวายบังคม แล้วเปล่งเสียงดังที่สุด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ทรงพระเจริญ ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”
ต่อจากนั้นพระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9เพราะเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เท่านั้น ที่จะทรงใช้อำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐโดยธรรมเพื่อการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติอันสำคัญยิ่งยวดโดยที่รัฐบาลหรือองค์กรอื่นใด ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ทรงประกาศยุติสงคราม ทรงแก้ไขเหตุวิกฤตทางการเมืองซึ่งเรียกว่า ทรงใช้อำนาจธรรมาธิปไตยเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติอันยิ่งยวด สมดังพระปฐมบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
จะสำเร็จเป็นรูปธรรมได้ดังกล่าวนี้ ก็ขึ้นอยู่กับแกนนำ มวลมหาประชาชน ที่จะต้องนำเสนอ และเป็นการได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เปลี่ยนการเมืองการปกครองของนักการเมือง ให้เป็นการเมืองของปวงชน ทุกฝ่ายต่างก็ถือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยมีสัญลักษณ์เป็นดาวทองคำ9 แฉก ที่แผ่ความยุติธรรมต่อปวงออกไปทั่วทุกทิศทั้ง 360 องศา
“จุดหมายย่อมมาก่อนวิธีการเข้าสู่จุดหมาย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมจะต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“จุดหมายย่อมเป็นเหตุของวิธีการอันหลากหลาย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ ฉันนั้น
จุดเริ่มบิดเบือน จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในคณะราษฎร ที่เข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 (มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ซึ่งเป็นการเขียน บัญญัติขึ้นลอยๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงและที่ซ้ำร้ายก็คือ จอมพล ป.ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (รูปร่างหน้าตา ความเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรัฐประหารและรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรเลย) ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองบนถนนราชดำเนิน แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทำให้ผู้ปกครองรุ่นหลัง นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจผิดกันอย่างร้ายแรงที่สุดต่อชาติและแก้ไขยากที่สุดสำหรับไทยเราว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย จนทำให้มวลชนนักศึกษาในอดีต พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง ฯลฯ ยึดเอามาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ในท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งไป ครั้งนี้ดูแล้ว จะซ้ำรอยเดิมอีกแล้วนะ สุเทพ ..
ดังกล่าวโดยย่อนี้ เรียกกระบวนการทางการเมืองดังกล่าวนี้ว่า “ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ” ข้อสังเกตว่าลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ พวกเขาคิด ทำได้สองลักษณะเท่านั้น คือ 1) ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 2) แก้ไขรัฐธรรมนูญ
การกระทำทั้งสองอย่างนี้ นอกจากจะรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญให้คงไว้ให้ยืนยาวต่อไปแล้วแล้วยังจะกระชับระบอบเผด็จการให้หนักยิ่งขึ้น เข้มข้นขึ้น กู้มากขึ้น โกงชาติปล้นชาติมากขึ้นๆ ของรัฐบาลนั้นๆ
ดังนั้นการจะคิดร่วมกันแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ จะทำอย่างไร ในสถานการณ์ตอนนี้มวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมความมุ่งหมายของพวกเขาคือต้องการเปลี่ยนการเมืองให้ยุติธรรม ให้เป็นการเมืองของปวงชนที่แท้จริง
ดังนั้นความเป็นไปได้ของการปฏิวัติสันติโดยมวลมหาประชาชนที่แท้จริง คือการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ มีความถูกต้องยิ่งใหญ่ทางเดียวเท่านั้นคือ ย้อนกลับไปสู่แนวทางที่ถูกต้องดังเดิมโดยสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงมีแนวคิดจะสถาปนา “หลัก Democracy” คือแนวทางพระราชทานหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย
แต่แนวทางของพระองค์ก็ถูกทำลายลงเสียด้วยการทำรัฐประหารของคณะราษฎร เมื่อ 24 มิถุนายน 2475โดยมีแนวทางกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งปัญญาชนทั้งหลายต่างก็ได้พิสูจน์มา 81 ปีแล้วว่าเป็นแนวทางการเมืองที่ผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติและประชาชนล้านเปอร์เซ็นต์
ท่านทั้งหลายจึงเห็นแนวทางการเมืองของชาติสองแนวทางใหญ่ๆ คือ
1) แนวทางสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (ถูกต้องยิ่งนัก)
2) แนวทางร่างใหม่และแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ผิดซ้ำซาก)
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นระบอบเผด็จการที่แยบยลที่สุด เพราะระบอบนี้ให้ระบบรัฐสภาเป็นรูปการปกครอง (Form of Government) และมีวิธีการการเลือกตั้ง จึงหลอกและบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ความเป็นจริง กฎหมายรัฐธรรมนูญ หน้าที่ของกฎหมายมีหน้าที่รักษาระบอบหรือสะท้อนระบอบหรือเป็นเครื่องมือของหลักการปกครองฯ แต่ 81 ปีหลักการปกครองโดยธรรมยังไม่เคยมีการสถาปนา แล้วกฎหมายรัฐธรรมนูญมันจะสะท้อน รักษาระบอบอะไรไว้ อีกทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญมันก็ไม่สามารถเป็นระบอบอะไรๆ ได้ นี่คือความถูกต้องทางด้านรัฐศาสตร์
พูดง่ายๆ ว่า จะเอาวิธีการมาเป็นจุดหมายได้อย่างไร วิธีการก็ต้องเป็นวิธีการเพื่อไปสู่จุดหมาย เช่น รถยนต์เป็นเครื่องมือ วิธีการหนึ่งไปสู่จุดหมาย หากเราเอาเครื่องมาเป็นจุดหมายแล้ว เราจะไปสู่จุดหมายได้อย่างไร ฉันใด
การที่ผู้ปกครองเอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นจุดหมาย หรือเป็นระบอบ มันก็ไม่ได้ ฉันนั้น มันจึงเป็นกระบวนการหลอกลวงประชาชนที่ยาวนานที่สุดในโลก เพื่อจะเอาประโยชน์และเป็นหนทางปล้นชาติได้ง่ายที่สุด และเป็นระบอบการเมืองที่ขัดกับสถาบันหลักของชาติมาตลอดนั่นเอง
ในเมื่อไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน ไม่มีหลักนิติธรรมแห่งชาติ ไม่มีกฎหมายความมั่นคงแห่งรัฐที่แท้จริง ฯลฯ
ดังนั้น รัฐบาลทุกรัฐบาล เป็นนายของกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือของรัฐบาล รัฐบาลจึงกลายเป็นตัวระบอบ รัฐบาลคือกลุ่มพรรคการเมืองและนายทุนสนับสนุนเพียงหยิบมือเดียว จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการ พวกเขาใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาใช้วิธีการเลือกตั้ง เมือระบอบเป็นเผด็จการการเลือกตั้งก็ย่อมเป็นระบอบเผด็จการไปด้วย ดูรูปประกอบ
จะเห็นได้ว่า การเมืองการปกครองเผด็จการดังกล่าวนี้ จึงหาความยุติธรรมต่อประชาชนไม่ได้ ประชาชนจะได้รับแต่อคติ ความโลภของนักการเมืองและนายทุนผู้สนับสนุน ชัยชนะทางการเมืองขึ้นอยู่กับเงินซื้อเสียง ท่านทั้งหลายจึงเห็นปรากฏการณ์หรือผลทางการเมืองคือความขัดแย้งทำลายกันเองเพื่อแย่งชิง กู้เงิน ปล้นชาติ รัฐประหาร กระทั่ง อัปรีย์ไป-จัญไรมา ไม่สิ้นสุด และที่ร้ายที่สุดคือประชาชนต่างก็ตกเป็นทาสทางการเมืองของพรรคการเมืองเมื่อไปเลือกตั้ง กลายเป็นเลือกโจรให้ปล้นชาติบ้านเมือง
ดังนั้นแนวทางที่ถูกต้องยิ่งใหญ่มีทางเดียวที่มวลมหาประชาชน และปัญญาชนทั้งหลายที่จะได้ร่วมกันเสนอในฐานะพสกนิกรผู้จงรักภักดีอย่างมีปัญญาที่ทำได้คือ นั่งลงถวายบังคม แล้วเปล่งเสียงดังที่สุด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ทรงพระเจริญ ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”
ต่อจากนั้นพระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9เพราะเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เท่านั้น ที่จะทรงใช้อำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐโดยธรรมเพื่อการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติอันสำคัญยิ่งยวดโดยที่รัฐบาลหรือองค์กรอื่นใด ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ทรงประกาศยุติสงคราม ทรงแก้ไขเหตุวิกฤตทางการเมืองซึ่งเรียกว่า ทรงใช้อำนาจธรรมาธิปไตยเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติอันยิ่งยวด สมดังพระปฐมบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
จะสำเร็จเป็นรูปธรรมได้ดังกล่าวนี้ ก็ขึ้นอยู่กับแกนนำ มวลมหาประชาชน ที่จะต้องนำเสนอ และเป็นการได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เปลี่ยนการเมืองการปกครองของนักการเมือง ให้เป็นการเมืองของปวงชน ทุกฝ่ายต่างก็ถือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยมีสัญลักษณ์เป็นดาวทองคำ9 แฉก ที่แผ่ความยุติธรรมต่อปวงออกไปทั่วทุกทิศทั้ง 360 องศา
“จุดหมายย่อมมาก่อนวิธีการเข้าสู่จุดหมาย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมจะต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“จุดหมายย่อมเป็นเหตุของวิธีการอันหลากหลาย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ ฉันนั้น