วานนี้(12 พ.ย. )นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ขอถอนวาระครม.เพื่อพิจารณา 5 เรื่อง การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และโครงการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของไทย ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
โดยวาระดังกล่าว จะให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลผ่านโครงการประชาสัมพันธ์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและโครงการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในวงเงินทั้งสิ้น 700 ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
“กระทรวงการคลัง ขอถอนออกไปก่อน เนื่องจากการจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ยังไม่แล้วเสร็จ โดยขอให้คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) พิจารณาอีกรอบ”
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลจัดทำเงินกู้ส่วนใหญ่เป็นแผนงาน/โครงการที่เร่งรัดการปรับโครงสร้าง และการแก้ปัญหาของส่วนราชการที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการให้เสร็จภายในปีงบประมาณนั้นๆ หรือ เป็นแผนงาน/โครงการ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน หรือเป็นแผนงาน/โครงการด้านการศึกษา การวิเคราะห์วิจัย รวมทั้งการจ้างที่ปรึกษา เพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างวิสัยทัศน์หรือกลยุทธ์ใหม่ เพื่อสนองตอบต่อสภาวะเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เคยปรากฏว่า จะใช้นำมาเป็นงบประชาสัมพันธ์โครงการเมกะโปรเจกต์ แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของแผนปี 2556 ดังกล่าว เป็นการดำเนินโครงการโดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการ รวมทั้งไม่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญด้วย
ซึ่งแผนนี้ประกอบด้วย โครงการประชาสัมพันธ์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาระบบคมนาคมขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ ไม่ได้รับการลงทุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเชื่อมโยงการคมนาคม ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และด่านชายแดนอย่างเป็นระบบ
“การลงทุนดังกล่าว รัฐบาลมีแผนที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2557 อย่างไรก็ดี เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการประชาสัมพันธ์โครงการลงทุนดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโครงการ”รายงานข่าว ระบุ
แผนดังกล่าวยังระบุถึง โครงการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของไทย เช่น การจัดกิจกรรม Thailand’s Roadshow to ASEAN การจัดสัมมนาระหว่างประเทศและจัดงานThailand’s Expo towards AEC 2015 และการจัดนิทรรศการ จัดสัมมนา และจับคู่ธุรกิจในพื้นที่จังหวัดที่มีด่านพรมแดนที่สำคัญ เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านั้นรัฐบาล ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการในพื้นที่จังหวัดขนาดใหญ่ 12 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกิจกรรมดำเนินงาน ประกอบด้วย 1. จัดนิทรรศการเพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์โครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล 2. จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งสำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 3. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ คาดว่าจะใช้งบประมาณสำหรับดำเนินการรวมทั้งสิ้นประมาณ 50 ล้านบาท
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้รับจัดสรรงบประมาณ 2557 สำหรับจัดทำโครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และจัดทำกลยุทธ์การสื่อสารประชาสัมพันธ์ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ จำนวน 15 ล้านบาทแล้ว ซึ่งจะแยกเป็นส่วนดำเนินงานที่จะมีค่าใช้จ่ายรวม 9.97 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ได้แก่ ค่าจ้างบุคลากรกว่า 4.24 ล้านบาท ค่าวัสดุอีกจำนวน 1.35 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 1.35 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่างบประมาณ 700 ล้านบาท อาจจะถูกนำไปจัดการโครงการนี้เพิ่มเติม โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพ ก่อนหน้าที่กระทรวงการคลัง จะเป็นเจ้าภาพ โดยมีการซื้อโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ไปแล้ว
ด้านนายธีรัตน์ แถลงด้วยว่า ครม.รับทราบการเดินหน้าโรดโชว์อนาคตประเทศไทย 2020 โครงการ 2 ล้านล้านบาท ที่มีการเดินสายไปทั่วประเทศรวม 12 ครั้ง โดยได้จัดเป็นกลุ่มจังหวัด ภายในระยะเวลา 2 เดือน ล่าสุดมีผู้เข้าร่มงานประมาณ 5 แสนคน จาก 7 ครั้งที่ผ่านมา จะสิ้นสุดในวันที่ 29 พ.ย.56 ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
โดยวาระดังกล่าว จะให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลผ่านโครงการประชาสัมพันธ์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและโครงการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในวงเงินทั้งสิ้น 700 ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
“กระทรวงการคลัง ขอถอนออกไปก่อน เนื่องจากการจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ยังไม่แล้วเสร็จ โดยขอให้คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) พิจารณาอีกรอบ”
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลจัดทำเงินกู้ส่วนใหญ่เป็นแผนงาน/โครงการที่เร่งรัดการปรับโครงสร้าง และการแก้ปัญหาของส่วนราชการที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการให้เสร็จภายในปีงบประมาณนั้นๆ หรือ เป็นแผนงาน/โครงการ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน หรือเป็นแผนงาน/โครงการด้านการศึกษา การวิเคราะห์วิจัย รวมทั้งการจ้างที่ปรึกษา เพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างวิสัยทัศน์หรือกลยุทธ์ใหม่ เพื่อสนองตอบต่อสภาวะเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เคยปรากฏว่า จะใช้นำมาเป็นงบประชาสัมพันธ์โครงการเมกะโปรเจกต์ แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของแผนปี 2556 ดังกล่าว เป็นการดำเนินโครงการโดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการ รวมทั้งไม่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญด้วย
ซึ่งแผนนี้ประกอบด้วย โครงการประชาสัมพันธ์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาระบบคมนาคมขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ ไม่ได้รับการลงทุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเชื่อมโยงการคมนาคม ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และด่านชายแดนอย่างเป็นระบบ
“การลงทุนดังกล่าว รัฐบาลมีแผนที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2557 อย่างไรก็ดี เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการประชาสัมพันธ์โครงการลงทุนดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโครงการ”รายงานข่าว ระบุ
แผนดังกล่าวยังระบุถึง โครงการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของไทย เช่น การจัดกิจกรรม Thailand’s Roadshow to ASEAN การจัดสัมมนาระหว่างประเทศและจัดงานThailand’s Expo towards AEC 2015 และการจัดนิทรรศการ จัดสัมมนา และจับคู่ธุรกิจในพื้นที่จังหวัดที่มีด่านพรมแดนที่สำคัญ เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านั้นรัฐบาล ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการในพื้นที่จังหวัดขนาดใหญ่ 12 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกิจกรรมดำเนินงาน ประกอบด้วย 1. จัดนิทรรศการเพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์โครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล 2. จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งสำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 3. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ คาดว่าจะใช้งบประมาณสำหรับดำเนินการรวมทั้งสิ้นประมาณ 50 ล้านบาท
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้รับจัดสรรงบประมาณ 2557 สำหรับจัดทำโครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และจัดทำกลยุทธ์การสื่อสารประชาสัมพันธ์ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ จำนวน 15 ล้านบาทแล้ว ซึ่งจะแยกเป็นส่วนดำเนินงานที่จะมีค่าใช้จ่ายรวม 9.97 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ได้แก่ ค่าจ้างบุคลากรกว่า 4.24 ล้านบาท ค่าวัสดุอีกจำนวน 1.35 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 1.35 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่างบประมาณ 700 ล้านบาท อาจจะถูกนำไปจัดการโครงการนี้เพิ่มเติม โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพ ก่อนหน้าที่กระทรวงการคลัง จะเป็นเจ้าภาพ โดยมีการซื้อโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ไปแล้ว
ด้านนายธีรัตน์ แถลงด้วยว่า ครม.รับทราบการเดินหน้าโรดโชว์อนาคตประเทศไทย 2020 โครงการ 2 ล้านล้านบาท ที่มีการเดินสายไปทั่วประเทศรวม 12 ครั้ง โดยได้จัดเป็นกลุ่มจังหวัด ภายในระยะเวลา 2 เดือน ล่าสุดมีผู้เข้าร่มงานประมาณ 5 แสนคน จาก 7 ครั้งที่ผ่านมา จะสิ้นสุดในวันที่ 29 พ.ย.56 ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา