เป็นวันที่ตื่นเต้นอีกครั้งของจ้อน ที่วันนี้จะได้เดินทางไกลตามที่เขาคาดหวังไว้มาหลายปี จ้อนและพี่ๆ น้องๆ ต่างตื่นเต้นที่จะได้ไปในที่ที่พวกเขาเคยสงสัยว่าพ่อแม่หายไปนั้นไปทำอะไรที่ไหน พ่อแม่หาบคอนของบนบ่าทั้งสอง พี่สาวคนโตของจ้อนอุ้มกระเตงน้องคนเล็กที่เพิ่งหัดคลาน ขบวนครอบครัวเล็กๆ ของจ้อนเดินลัดเลาะออกจากหมู่บ้านในยามย่ำรุ่งไปตามเส้นทางเล็กๆ ผ่านทุ่งนาป่าละเมาะตัดผ่านถนนดินบ้างในบางช่วง แสงตะวันเริ่มทอแสงเมื่อการเดินทางถึงจุดพักที่วัดขุนทอง พ่อแม่ของจ้อนจัดเอาข้าวห่อออกมาแจกจ่ายให้ลูกๆ กินเป็นมื้อเช้าของวัน ท่านเจ้าอาวาสเดินยิ้มอารมณ์ดีเข้ามาทักทาย
“ไปกันอีกเหรอโยม ทำไมวันนี้จึงหอบไปกันทั้งครอบครัวล่ะ” ท่านเจ้าอาวาสถามด้วยแววตาเมตตา
“พวกเด็กๆ ปิดเทอมกันครับท่าน ก็เลยเอาไปหัดทำสวนทำไร่บ้างโตขึ้นจะได้รู้จักทำมาหากิน” พ่อจ้อนตอบ
กว่าจะถึงสถานีรถไฟบ้านควนมีด จ้อนก็อยู่ในสภาพที่กึ่งเดินกึ่งหลับไปในตัว ความเหนื่อยทำให้เสียงการพูดคุยเริ่มหายไป ทุกคนก้มหน้าเดินๆๆๆ จนมาถึงบ้านที่พ่อบอกจ้อนและพี่ๆ ว่านี่คือบ้านญาติของเราที่พากันมาสร้างครอบครัวอยู่ที่นี่ จ้อนหลับไปนานแสนนานจนเมื่อเสียงหวูดรถไฟดังขึ้น พ่อแม่ก็นำพวกจ้อนขึ้นบนรถไฟ การนั่งรถไฟครั้งแรกในชีวิตของเด็กอย่างจ้อนช่างตื่นตาตื่นใจ รถไฟพาจ้อนไปหยุดอยู่ที่สถานีรถไฟจะนะ เสียงจอแจของผู้คน เสียงตะโกนของแม่ค้า
“ส้มจุกๆ ไก่ทอดๆ ลูกพรวนๆ” คือภาพแรกที่แปลกตาของจ้อน ภาพของส้มจุกขนาดใหญ่ถูกร้อยพวงด้วยลวด ลูกพรวนซึ่งที่โรงเรียนสอนจ้อนว่ามันคือเงาะ แต่ที่นี่ทำไมเขาเรียกว่าลูกพรวนจ้อนไม่เข้าใจ จ้อนออกปากบอกแม่ว่าอยากกินส้มจุกเพราะไม่เคยได้กิน แม่บอกว่ารออีกหน่อยไปถึงบ้านญาติที่บ้านประจ่า ทั้งลูกพรวน ส้มจุก มังคุด ลูกจะได้กินไม่ต้องเสียเงินซื้อหรอก
สะพานไม้ทำด้วยต้นมะพร้าวต้นเดียวต่อกันราวๆ 3 ต้นถึงจะผ่านลำคลองไปอีกด้าน มีราวสะพานให้เกาะด้านเดียว ใต้สะพานน้ำใสเขียวเพราะความลึกพ่อให้แม่เฝ้าพวกจ้อนไว้ที่ริมคลองแล้วจัดการขนของขึ้นบ่าทยอยไปอีกฝั่งทีละชิ้นๆ ภาพของพ่อที่เดินไปบนสะพานต้นมะพร้าวที่ราวสะพานโยกเยกไปมา อดทำให้ใจของจ้อนหวั่นไหวไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปโดยดี เดินผ่านทุ่งนาพักใหญ่ๆ พ่อแม่ก็พาจ้อนและพี่ๆ น้องๆ เดินเข้าหมู่บ้านประจ่า แห่งแรกที่แวะคือเดินเข้าไปในวัดประจ่า ไปกราบที่เก็บกระดูกของน้องชายของปู่ที่เคยเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ เสียงพ่อพูดพึมพำๆเสมือนบอกกล่าวให้ท่านได้ทราบอะไรสักอย่าง
“มาๆ เอาของไปเก็บ ไปอาบน้ำแล้วจะได้กินข้าวกัน” ทวดนวลหญิงชรารุ่นคุณยายของจ้อนออกอาการดีใจ
บ้านทวดนวลเป็นบ้านทรงไทยหลังใหญ่สองชั้น มีลานที่ต่อออกมาเป็นชานไม่มีหลังคา กิ่งและลูกของส้มจุกที่โน้มกิ่งออกลูกเสมือนหลังคาของชานบ้าน แค่เอื้อมมือไปอีกหน่อยลูกส้มจุก ลูกพรวน ก็อยู่ในกำมือได้อย่างง่ายดาย จ้อนและพี่ๆ ก็ได้ลิ้มรสของส้มจุกและลูกพรวนที่นี่สมความตั้งใจ
“นอนเถอะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่หัวรุ่ง” ตาเลี่ยงญาติผู้ใหญ่เข้ามาเตือนให้พวกจ้อนกับเพื่อนใหม่ที่สุมไฟกันที่ใต้ถุนให้ขึ้นไปนอน
“ปล่อยพวกมันเถอะ พวกมันจะได้สนิทสนมกันไว้ โตขึ้นพวกมันจะได้รู้ว่าพวกมันคือญาติพี่น้อง จะได้ดูแลช่วยเหลือกัน” เสียงยายเนี่ยวบอกกับตาเลี่ยง คืนนี้ครอบครัวของจ้อนก็พักค้างคืนก่อนที่จะออกเดินทางต่อไปในวันรุ่งขึ้น
เสียงชะนีสะท้อนจากภูเขาลูกไกลๆ ยามใกล้ค่ำและย่ำรุ่งในแต่ละวัน เสียงไก่ป่าเสียงแหลมจี๊ดส่งเสียงมาจากแนวป่าใกล้ๆ กระจงและครอบครัวของมันเดินนวยนาดผ่านหน้าในป่าละเมาะใกล้ๆ ขนำ เสียงกระพือปีกของฝูงนกเงือกที่บินผ่านดังวืดๆๆๆ จ้อนตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศแห่งภูเขายิ่งนัก ตกกลางคืนเพื่อนใหม่ลูกชาวสวนแถวๆนั้นสอนจ้อนให้นำดอกหญ้าไม้กวาดมามัดทำเป็นพุ่ม ก่อกองไฟแล้วเอากะลามาเคาะ ไม่นานนักก็จะมีแมลงตัวขนาดหัวแม่มือสีเขียวๆ บินมาหา พวกมันมาตามแสงไฟหรือเสียงเคาะกะลาจ้อนไม่อาจจะเข้าใจได้ พวกมันบินลงมาเกาะพุ่มดอกหญ้ากันเป็นฝูงๆ คืนไหนอยู่กันหลายๆ คนก็เก็บไว้เยอะๆ คืนไหนที่จ้อนอยู่กันกับพี่ๆ น้องๆ เขาก็เก็บเอาแต่พอดีๆ มันคืออาหารกินเล่นอย่างเดียวที่มีที่นี่คือแมลงทอดกรอบ
ในคืนแรกๆ จ้อนหวาดผวากับเสียงเดินใกล้ๆขนำในยามค่ำคืน พ่อบอกจ้อนว่ามันคือหมีหรือไม่ก็ฝูงหมูป่า บางคืนก็มีเสียงการแทะเปลือกไม้ ตื่นเช้าในบางวันจ้อนก็จะพบว่าตอไม้โพรงไม้ถูกฉีกออกมาเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายไปทั่ว โพรงรังผึ้งขนาดใหญ่สูงพ้นหัวพ่อของจ้อน ห่างออกไปจากขนำไม่มากนัก วันหนึ่งริ้วรอยเขี้ยวเล็บที่ปีนป่ายไปฉีกเอาน้ำผึ้ง พ่อจ้อนบอกว่ามันคือหมีลูกอ่อนที่พ่อเห็นผ่านมาแถวนี้บ่อยๆ
ลุงสีขนำด้านล่างคือครูคนใหม่ของจ้อน ลุงสีและครอบครัวปลูกขนำอยู่กับครอบครัวด้านล่างของเนินเขา ขนำของจ้อนอยู่บนเนินสูง ลุงสีแวะเวียนมาคุยกับพ่อของจ้อนแทบทุกคืนจนสนิทกับพวกจ้อนทุกคน แกมีปืนแก๊ปและเครื่องมือล่าสัตว์หลากหลายชนิด มาทุกครั้งแกมักเล่าเรื่องการล่าสัตว์ชนิดต่างๆ ที่มีที่นี่ให้จ้อนฟังเสมอ สุดท้ายก็จะจบลงด้วยคำชักชวนว่าสนใจไหมจะไปล่าสัตว์กัน จ้อนปฏิเสธลุงสีไปหลายหนแต่เมื่ออยู่ไปหลายๆ วันจ้อนเริ่มรู้สึกจำเจกับบริเวณรอบๆ ขนำ ตัดสินใจเดินตามลุงสีไปในวันที่แกผ่านมาและมองออกว่าจ้อนพร้อมจะไปกับแกในวันนี้
“นี่คือลานนกยูงนะ” ลุงสีชี้ให้จ้อนดูลานโลงเตียนริมธารน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่
“วิธีจับนกยูงเราทำได้ทำง่ายๆ เราแค่เอาไม้ไผ่มาผ่าแล้วปาดให้บางๆ เหมือนใบมีด นำมาปักไว้ที่ลานของมันสักสองสามจุด ปกติเวลานกยูงลงมากวาดลานดินมันจะใช้คอของมันถอนหญ้าหรือกิ่งไม้ที่เกะกะตามลาน เมื่อมันเอาคอม้วนรอบไม้ไผ่ที่เราเหลาไปปักไว้ จังหวะที่มันดึงเพื่อถอนไม้ไผ่ ไม้ไผ่ก็จะปาดคอมันดิ้นตายอยู่ตรงนั้น เราก็เอาไปได้อย่างง่ายๆ” ลุงสีพูดหน้าตาเฉยในขณะที่จ้อนรู้สึกเสียววาบเข้าไปในหัวใจ
ลุงสีพาจ้อนออกล่าสัตว์กลางคืนสองสามครั้ง เริ่มจากการส่องกบภูเขาที่ลงมาอยู่เพื่อขุดหลุมวางไข่ตามริมธาร กบภูเขาขายาวๆ กว่ากบนา บางคืนได้มาเยอะมากๆ วิธีการเก็บกบเอาไว้กินหลายๆ วันก็ทำได้โดยผ่าเอาไส้ออกแล้วนำไปย่างให้แห้ง บนขนำของจ้อนจึงเต็มไปด้วยหมูป่าผัดเค็ม กบภูเขาย่าง กระจงย่าง“การออกล่าสัตว์กลางคืนเราต้องมีความรู้” ลุงสีเริ่มบทเรียนที่สำคัญให้จ้อน
“แววตาของสัตว์กินพืชกับสัตว์กินเนื้อนี่ต่างกันนะ เราต้องแยกให้ออกไม่งั้นเราจะตกเป็นฝ่ายถูกล่าได้” ลุงสีบอก
“หากพบแววตาสีเขียวหรือสีฟ้าๆ เมื่อกระทบกับแสงไฟที่เราส่อง นั่นคือสัตว์กินพืชเราจัดการมันได้เลยไม่ว่าตัวใหญ่ขนาดไหน แต่ถ้าพบว่าแววตาเป็นสีส้มๆ แดงๆ ต้องระวังให้มาก เพราะอาจจะเป็นแววตาของหมีหรือเสือ อย่าผลีผลามลงมือถ้าเราอยู่ในทำเลที่ไม่ปลอดภัย” ลุงสีเน้นคำสอน
จ้อนได้เรียนรู้ว่าการล่ากระจงของลุงสีก็ช่างพิสดาร วันนี้ลุงสีมาชวนจ้อนออกไปล่ากระจงในป่าละเมาะทึบห่างไปจากขนำไม่มากนัก จ้อนนั่งดูลุงสีขุดหลุมเล็กๆ แล้วเอากาบหมากหลาโอนที่ตัดเหน็บเอวของแกมาจากขนำ แกวางกาบหลาโอนไว้บนปากหลุมแล้วใช้ไม้ตีทำนองเหมือนกลองหนังตะลุง จ้อนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ในเวลาไม่นานนักกระจงก็จะออกมาเต้นตามจังหวะที่แกตี ลุงสียกปืนแก๊ปขึ้นเล็งแล้วลั่นไก
“ปัง” กระจงที่ถูกเลือกก็กระเด็นไปตามแรงของลูกปืน เลือดสาดกระจายตามใบไม้กระจงหนุ่มนอนแน่นิ่งเลือดจากร่างของมันไหลลงพื้น ครู่เดียวมันก็หยุดหายใจจ้อนพบว่าตรงทรวงอกของมันมีแผลเหวอะหวะหลายจุดจากกระสุน ภาพวันนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่จ้อนจะตามลุงสีไปล่ากระจง.