ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ถ้อยแถลงของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านทีวีพูลรอบสอง ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไร้ความมั่นใจ ขาดวุฒิภาวะผู้นำในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤต ไม่ได้มีพัฒนาการเพิ่มเติมเลยหลังจากที่เคยประสบกับปัญหามหาอุทกภัย เมื่อปี 2554 มาแล้ว
ทุกครั้งที่ประชาชนได้เห็นหน้ายิ่งลักษณ์ แทนที่จะอุ่นใจกลับร้อนรุ่ม และเกิดความไม่มั่นใจมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างว่า สภาได้มีมติที่ถอนร่างอัปยศทั้งหมดแล้ว ก็เป็นเรื่องเท็จ และขัดต่อสิ่งที่นางเคยพูดมาโดยตลอดว่า“ก้าวก่ายสภานิติบัญญัติไม่ได้”
อยู่ดีๆ คุณเธอในฐานะนายกฯ ที่อ้างว่า “หนีสภา”เพราะไม่ต้องการก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติ กลับมาเรียกร้องให้ประชาชนมั่นใจว่า เธอสามารถควบคุมสภาไทยและวุฒิสภา ที่กำลังจะพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอยได้ซะงั้น
ตกลงว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้เธอในฐานะนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ คิดอย่างไรกับบัณฑิตศิษย์เก่าคนนี้
ถ้ายังคิดไม่ออก ก็ขอแนะนำให้เรียกใบปริญญาคืนด่วน ก่อนที่จะไม่มีใครกล้าส่งลูกหลานไปเรียนรัฐศาสตร์ที่ มช. อีกต่อไป
กลเกมของยิ่งลักษณ์และกลยุทธ์ที่หากินกับความเป็นคนเดือนตุลาฯ รวมไปถึงยุทธศาสตร์แบบฮิตเลอร์ ว่า โกหกไปเรื่อยๆ คนจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนั้นใช้ไม่ได้แล้ว สำหรับสังคมไทยในปัจจุบัน
เพราะตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เปลือยตัวตนออกมาล่อนจ้อนแล้วว่า ไม่ฟังเสียงประชาชนที่เห็นต่าง ดึงดันเดินหน้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ใช้สื่อมวลชนโฆษณาชวนเชื่อ ปิดหูปิดตาประชาชน และที่สำคัญคือ โกหกประชาชนทุกวันราวกับคนไทยเป็นคนโง่
ในขณะที่รัฐบาลบอกถอยแล้วกับกฎหมายล้างผิดเพื่อพี่ชาย แต่ท่าทีของแกนนำเพื่อไทย ตั้งแต่หัวยันหาง โดยเฉพาะสัมภเวสีที่บงการอยู่เบื้องหลังในต่างประเทศ ก็ยังคงแสดงออกชัดเจนว่า
“ยังมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความปรองดอง และตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จด้วยบทบาทเดิมๆ ว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง ต้องการทวงคืนความเป็นธรรม”
ซึ่งคงต้องบอกว่า มาถึงนาทีนี้ น้ำลายของทักษิณที่พ่นออกมาเป็นคำพูดก็ไม่ต่างจากการขากเสลดลงถนนที่มีแต่จะสร้างความขยะแขยงให้กับประชาชนมากขึ้น
ดังนั้น การออกมาวิงวอนขอร้องให้ประชาชนยุติการชุมนุมของยิ่งลักษณ์ จากการแถลงผ่านทีวีพูลครั้งที่สาม แถมยังขู่ให้ประชาชนรู้่สึกกลัวที่จะเข้าร่วมชุมนุม โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงนั้น จะยิ่งเป็นการ “เรียกแขก”ให้กับเวทีที่ราชดำเนินมากขึ้น
ที่สำคัญคือ ยิ่งลักษณ์ อาจจะถนัด “รับแขก” แต่จะรับไหวไหม เมื่อเวลาเรียกแขกแล้วประชาชนมาเป็นแสนเป็นล้าน เพราะทั้งพี่ชายนักโทษ และทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ปรามาสคนไทยไว้อย่างมาก ว่า
กำลังต่อต้านไร้พลัง
โดยนักโทษหนีคดีประเมินว่ามีไม่ถึงหมื่น แต่วันนี้การแสดงออกของคนไทยจากทุกภาคส่วน แสดงให้เห็นแล้วว่าหลายล้านและคนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายล้างผิดโจรนี้ น่าจะมีจำนวนมากกว่า 15 ล้านเสียง ที่หลงผิดเลือกพรรคเพื่อไทย เข้ามาบริหารประเทศด้วยซ้ำ
คำขาดอันเป็นเส้นตายที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเวทีราชดำเนิน ให้ยิ่งลักษณ์ฆ่ากฎหมายเพื่อพี่ สร้างอัปรีย์ให้กับระบบยุติธรรมประเทศ ภายในวันที่ 11 เดือน 11 ปี 56 ซึ่งนำมาบวกรวมกันแล้วได้ 11 พอดีนั้น จึงน่าจะเป็นสุดซอยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ดื้อด้านโดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน ลักหลับประชาชนตอนตีสี่ครึ่งด้วยเสียงข้างมากลากระบบกฎหมายไทยไปเรียงคิว กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่กันกลางสภา ซึ่งจะทำให้พบปลายทางว่าเป็นซอยตัน
ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตกอยู่ในสภาพ “หมาจนตรอก” จึงมีโอกาสที่จะแว้งกัดคนไทยได้ทุกเมื่อ เพราะในเวลานี้รัฐบาลก็มิได้แข็งแรงมากพอที่จะยุบสภา เพื่อใช้เสียงประชาชนมาฟอกตัวเองเหมือนที่ทักษิณ เคยทำในปี 2549 เนื่องจากการบริหารที่ห่วยแตก พาชาติลงเหวทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และการศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิษประชานิยมที่ผู้เสพคือรากหญ้า ได้รับผลกระทบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นรถคันแรก หรือแม้แต่โครงการรับจำนำข้าว ที่ชาวนายังไม่ได้เงินรับจำนำ เพราะธ.ก.ส.ถังแตก ไม่มีเงินจ่าย
หากยุบสภาไปตอนนี้ย่อมมีความเสี่ยงว่า เสียงของพรรคเพื่อไทย จะไม่มีทางได้เกินครึ่งหนึ่งของสภาเหมือนในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการแลนด์สไลด์ เทมาที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่ทักษิณเหยียดหยามนักหนาว่าไร้น้ำยา เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยระบบแทนที่จะให้อำนาจนอกระบบเข้ามามีบทบาทจนสร้างความขัดแย้งไม่มีที่สิ้นสุด
จากบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา เมื่อทักษิณ ยุบสภาเพราะเกิดแรงต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชน กรณีไม่เสียภาษีในการขายหุ้นชินฯ ให้กับเทมาเส็ก ฝ่ายค้านในขณะนั้นร่วมกันไม่ส่ งส.ส.ลงสมัคร ทำให้เกิดปัญหาทางข้อกฎหมายในหลายพื้นที่ เรื่องผู้ลงสมัครได้คะแนนไม่ถึง 20 % จนเกิดเหตุการณ์จ้างพรรคเล็กลงสมัคร ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้พรรคไทยรักไทย ถูกยุบก่อนที่สถานการณ์จะพัฒนาไปจนกระทั่งทหารนำรถถังออกมาปฏิวัติ หลังที่พลังประชาชนในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาโค่นระบอบทักษิณ ด้วยการชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อตั้งแต่ปี 2548
กระทั่งกลายเป็นดาบสองคมไล่ทักษิณออกจากประเทศ มีการดำเนินคดีทุจริตได้ แต่ก็ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักหน่วงรุนแรงกว่าเดิม คือความแตกแยกในสังคม เพราะทักษิณใช้คมดาบของการรัฐประหารที่ถีบเขาออกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี กลับมาประหัตประหารประเทศชาติ ด้วยการใช้วาทกรรม “ต้นไม้พิษ ที่พ่นผลไม้พิษ”ไม่หยุดมาจนถึงวันนี้
หากคิดเหมือนเดิมว่า จะแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ คงต้องคิดใหม่ เพราะไม่มีทางได้ผล แต่จะยิ่งสร้างปัญหาใหม่ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น เพราะปัจจัยของสถานการณ์ในขณะนี้นั้น แตกต่างจากสมัยทักษิณ โดยสิ้นเชิง
ยุคทักษิณ คนระดับล่างไม่รู้เรื่องเลยว่า กำลังมีรัฐบาลเลวบริหารประเทศ ตรงกันข้ามยังเห็นทักษิณเป็นพ่อพระของคนจนที่ถูกรังแก จึงทำให้กระแสเสื้อแดงจุดติด บวกกับอำนาจเงินของโจรปล้นชาติ ทำให้เกิดความแตกแยกทั่วประเทศจนนำไปสู่การเผาบ้านเผา เมืองปี 2552 และ 2553
แต่ในยุคยิ่งลักษณ์ ความเดือดร้อนไม่มีสี คนไทยได้สัมผัสกับตัวเอง แม้จะใช้ภาพมายาหรือโฆษณาชวนเชื่อว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นภายใต้การบริหารของยิ่งลักษณ์ ก็ไม่สามารถทำได้
เพราะล้วงกระเป๋าลงไปแล้ว คนไทยรู้แก่ใจดีว่ารายได้กับรายจ่ายมันสัมพันธ์กันหรือไม่ และใครที่ทำให้ค่าครองชีพสูงลิ่ว ไม่แก้ปัญหาปากท้องประชาชน มุ่งแต่หาแดกกับเงินแผ่นดิน
นอกจากนี้ หากมีการยุบสภา แล้วให้ประชาชนตัดสินกันผ่านสนามเลือกตั้ง วัดกันไปเลยระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่ว่าคนไทยจะยังหลงผิดคิดเลือกพรรคการเมืองที่ทักษิณเป็นเจ้าของเข้ามาบริหารประเทศอีกหรือไม่
ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ยังเลือกก็ดีในมิติหนึ่งคือ รัฐบาลเพื่อไทยต้องกลับมาล้างขี้ที่ตัวเองทำไว้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ประชาชนได้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลนอมินีทักษิณมากขึ้น จนเกิดการตื่นรู้ ที่จะกำจัดระบอบทักษิณผ่านระบบเลือกตั้ง ทำให้ตระกูลชินวัตร หมดความชอบธรรมที่จะใช้ประชาชนมาเป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจทำร้ายประเทศไทยอีกต่อไป
ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ ก็ควรประกาศให้ชัดเจนว่า หากมีการยุบสภาจนต้องมีการเลือกตั้งใหม่ แล้วพรรคไม่ได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาที่จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบริหารประเทศโดยไม่ต้องไปผสมพันธุ์กับกาฝากการเมืองพรรคไหนก็จะไม่เป็นรัฐบาล
หรือเช่นเดียวกัน หากมีพรรคการเมืองทางเลือกที่จะเสนอตัวสอดแทรกเข้ามาแข่งขัน ก็ต้องประกาศให้ชัดเจนไปเลย ว่าเข้ามาแล้วจะไม่ก่อกรรมทำชั่วทำร้ายประเทศชาติเหมือนนักการเมืองเฮงซวยที่อยู่ในสภาตอนนี้อย่างไร
วัดกันอย่างนี้เลย ดีไหมพี่น้อง ?