ผ่าประเด็นร้อน
จะว่าเป็นเพราะคนไทยขี้เบื่อ ก็ไม่น่าจะใช่ กับอาการที่เริ่มเบื่อๆเซ็งๆกับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบบ “รัฐตำรวจ” ที่ระบอบทักษิณ นำมาใช้จัดการกับฝ่ายตรงข้ามในแบบใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่าไม่ให้มีโอกาสโงหัวขึ้นมาได้เลย ซึ่งในตอนแรกๆ อาจยังใช้ได้ผลเพราะเป็นการใช้อำนาจในช่วงเข้ามาใหม่ๆ ยังเป็นบรรยากาศของการฉลองชัยชนะ ยังมีความฮึกเหิม ฝ่ายที่พ่ายแพ้มาใหม่ๆ เพิ่งเสียเลือดเสียเนื้อ รวมไปถึงชาวบ้านทั่วไปที่เป็น “ไทยเฉย” ก็ต้องยอมศิโรราบหรือไม่ก็ต้องยอมก้มหน้ากันไป หรืออีกทางหนึ่งอาจหวังว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเข้ามาแล้ว ทุกอย่างก็น่าจะเดินหน้า ดีขึ้น จึงยอมนิ่งเฉยเอาไว้
แต่ที่ไหนได้ผ่านมาเกือบย่างเข้า 3 ปี จวนใกล้จะครบวาระเข้ามาทุกทีแล้ว ตอนนี้ก็จะล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายนใกล้จะสิ้นปีอีกแล้ว บรรยากาศแทนที่จะดีขึ้น น่าจะมีความหวังมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะหากพิจารณากันเฉพาะเรื่องใกล้ตัว ในเรื่องค่าครองชีพ สินค้าราคาแพง ขณะที่รายได้ไม่พอกับรายจ่าย หนี้สินครัวเรือนพุ่งขึ้นมาพรวดพราด ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำทุกรายการ การส่งออกลดลง การทุจริตคอร์รัปชันเป็นไปอย่างกว้างขวาง มีแต่คนในรัฐบาลเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการที่ใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน
ถามว่าที่ผ่านมาสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารบ้านเมืองมาตลอดระยะเวลาเกือบสามปีนี้ มีอะไรที่ออกดอกออกผลเพื่อประโยชน์ของประชาชนและบ้านเมืองในระยะยาวได้บ้าง ก็เปล่าเลย ทุกนโยบาย ทุกความคิดที่ออกมาจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่นาทีนี้หากใครไม่เข้าใจว่าเขาคือ “นายกฯ ตัวจริง” ที่สั่งการแทนทุกเรื่องก็น่าจะเป็นคนที่ “ไร้เดียงสา” ไม่เข้าใจโลกก็น่าจะพูดแบบนั้นได้ เพราะ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” นั่นแหละเห็นภาพ” แต่อาจจะไม่ใกล้เคียงความจริงอีก เนื่องจาก ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ทำ แต่มีบริวารหรือ “ขี้ข้า” คนอื่นทำแทน สาเหตุอาจเป็นเพราะ “สติปัญญา” ของเธอก็เป็นได้
สารพัดประชานิยมที่พรรคเพื่อไทย โดย ทักษิณ ปล่อยออกมาในช่วงหาเสียงพร้อมกับสร้างกระแสนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์มันก็กลายเป็นสองแรงบวก ส่งให้ชนะการเลือกตั้งเข้ามาแบบถล่มทลาย จนประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับคู่หู สุเทพ เทือกสุบรรณ คาดไม่ถึงว่าจะพ่ายแพ้ย่อยยับ ไปไม่เป็น ยังไม่ฟื้นจนถึงบัดนี้
อย่างไรก็ดีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ก็คือ ทุกอย่างกำลังถดถอยลงอย่างไม่น่าเชื่อ จากเดิมในช่วงปีแรกอาจเป็นลักษณะ “ขาลงแบบช้าๆ” แต่พอย่างผ่านพ้นปีที่สองล่วงเข้าปีที่สามเท่านั้นแหละ กลายเป็นลักษณะ “ลงเร็วลงแรง” อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไม่ว่าจับเรื่องไหนเป็นล้มเหลวไปแทบทั้งหมด ถูกวิจารณ์ในทางลบแทบทั้งสิ้น เพราะหากลองไล่เรียงให้เห็นภาพก็ได้ เอาประเภทที่ใกล้ตัวเข้าใจง่าย ก็เห็นจะเป็นความล้มเหลวจากโครงการประชานิยมที่เคยเป็น “ทีเด็ด” นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรับจำนำข้าว ที่อ้างว่าชาวนาได้ประโยชน์ ชอบใจกันทั้งประเทศ แต่ถามว่าเงินถึงมือพวกเขาเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่า ต้องถูกหักค่าความชื้น ค่าสิ่งเจอปน หักค่าหัวคิวสารพัด มิหนำซ้ำเงินสดที่ได้รับมีความล่าช้า
ขณะที่อีกด้านหนึ่งโครงการดังกล่าวกำลังสร้างความฉิบหายทางด้านการคลังสูงขึ้นทุกปี เพราะหากรวมกันแล้วสองปีจากข้อมูลของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่ระบุตัวเลขอย่างชัดเจนว่าขาดทุนรวมกันแล้ว ไม่ต่ำกว่า 4.25 แสนล้านบาท รวมทั้งไม่ว่าใครก็ตาม เช่น อดีตรัฐมนตรีคลัง อย่าง ธีระชัย ภูวนาทนรานุบาล ซึ่งก็ถือว่าเคยเป็นคนกันเองยังทนไม่ได้ที่จะต้องหาจังหวะออกมาคัดค้าน ตำหนิให้เห็นอยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่ที่ปรึกษาใหญ่อย่าง “โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ก็ยังไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว แต่ถึงอย่างไรเหมือนกับการ “ขี่หลังเสือ” ก็ต้องเดินหน้าต่อไป แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นหุบเหวก็ต้องเดินไป ถอยกลางคันไม่ได้
แต่ขณะเดียวกัน เริ่มเห็นอาการ “ผิดปกติ” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ เริ่มมีการจำกัดวงเงิน ลดราคาลงมา รวมไปถึงการลดระยะเวลา ไม่ได้รับจำนำทุกเมล็ดเหมือนเดิมแล้ว ความหมายที่ไม่ต้องอธิบายก็คือ “ถังแตก” แต่จะยอมรับความจริงไม่ได้เป็นอันขาด นอกจากเจ๊งคามือเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรสังคมข้างนอกก็ย่อมมองออกอยู่แล้ว กำลังจะไปไม่ไหว เพราะการส่งออกข้าวลดลงอย่างฮวบฮาบ จากปัญหาราคาข้าวของไทยสูงกว่าของประเทศคู่แข่ง หากจะขายออกไปก็ต้องยอมขายขาดทุนอย่างมหาศาล ดังนั้นอย่าได้แปลกใจก็คือรัฐบาลต้องปิดข้อมูลการขายข้าวทุกอย่างเป็นความลับ แต่ถึงอย่างไรความจริงก็ต้องเปิดเผยออกมาจนได้ อย่างน้อยก็เริ่มเห็นอาการ “หมุนเงินไม่ทัน” ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ต้องเร่งรัดให้รัฐบาลต้องนำเงินมาโปะชดเชยให้โดยเร็ว เพราะมีเงินไม่พอสำหรับใช้จ่ายให้กับชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวในฤดูกาลใหม่ คือ 2556/57
นี่ยังไม่นับอีกหลายโครงการสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นรถคันแรก ที่นอกจากจะสร้างปัญหาในเรื่องหนี้ครัวเรือนที่พุ่งพรวด แต่กลับไม่กระตุ้นการจับจ่าย กลายเป็นตัวฉุดดึงไม่ให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไปสู่เป้าหมาย ค่าแรงวันละ 300 บาท แม้ว่าในเบื้องต้นจะทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ แต่อีกทางหนึ่งกลายเป็นการกระตุ้นให้ราคาสินค้าสูงขึ้นจนตามไม่ทัน ขณะเดียวกันยังทำให้ต้นทุนของธุรกิจขนาดกลางและเล็กสูงขึ้นจนแบกรับไม่ไหวต้องปิดตัวลงมากมาย
จากความล้มเหลวดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบ สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านร้านตลาด เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สัมผัสได้ รู้สึกได้ว่า “ของแพงจริง” มีหนี้สินเพิ่มขึ้นจริง เสี่ยงต่อการตกงานมากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมประจานฝีมือของรัฐบาล ไล่เรียงมาตั้งแต่ “หัวโจกใหญ่” คือ ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ลงมา นับวันยิ่งได้เห็นว่าเธอไม่มีสติปัญญา เพราะต่อไปนี้เมื่อถูกถามในเรื่องมาตรการแก้ปัญหาเป็นรายวันถ้าจะใช้วิธีแบบเดิมนั่นคือ ถ้าถามเครื่องค่าครองชีพก็โบ้ยให้ไปถามกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ถามเรื่องราคายางพาราให้ไปถาม รัฐมนตรีเกษตรฯ ทุกวันแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะไม่จำเป็นต้องมีนายกฯ ก็ได้
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้เราจะได้เห็นการเคลื่อนไหว อารมณ์ไม่พอใจของชาวบ้านที่หลากหลายมากขึ้น เพราะเริ่มเห็นตรงกันแล้วว่า คนพวกนี้มันมีแต่ “เปลือก” เป็นของปลอม ที่เห็นกันอยู่ดาษดื่นเหมือนกับนักการเมืองทั่วไปที่เคยเห็นมา ไม่ได้ต่างกัน ไม่ใช่เก่งกาจมาจากไหน เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาคนพวกนี้รู้จักฉวยจังหวะ รู้จักหลอกต้มชาวบ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปความจริงมันก็ย่อมปรากฏออกมาจนได้ เหมือนอย่างที่เห็นในตอนนี้ ที่เริ่มเสื่อมลง ไม่เหมือนเดิมแล้ว และน่าจับตาว่าจะไปได้อีกกี่น้ำ!!