ผ่าประเด็นร้อน
เวลานี้เมื่อพิจารณาจากสารพัดปัญหาที่รุมเร้าเข้าใส่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับวันยิ่งหนักหน่วง ขึ้นเรื่อยๆ และทุกปัญหา ทุกรายละเอียดล้วนมีผลต่ออนาคตความอยู่รอดของรัฐบาล “ประชานิยม” ชุดนี้ทั้งสิ้น และที่สำคัญนโยบายประชานิยมนั่นแหละกำลังจะทำให้รัฐบาลพังลงในที่สุด
แน่นอนว่าหากพูดถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านในยุคนี้คงไม่มีเรื่องใด เร่งด่วน และเป็นเรื่องใหญ่เท่ากับปัญหา “ปากท้อง” ไปได้เลย ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในอดีตไม่อยู่สองเรื่องหลักเท่านั้นที่ทำให้รัฐบาลซวนเซหรือพังลงไปก็คือ เรื่องการทุจริตคอรัปชั่น กับเรื่องปัญหา “ข้าวยากหมากแพง” นี่แหละ เวลานี้กลายเป็นว่าราคาสินค้าค่าครองชีพแพงทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายประจำวัน ส่วนราคาสินค้าเกษตรทุกตัวราคาตกต่ำหมด ขายไม่ได้ราคา ขาดทุนป่นปี้ มีแต่หนี้สินล้นพ้นตัว เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า
รับรองว่าความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นนาทีนี้จะเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ใช่การเมืองไม่ต้องไปสนใจแล้ว เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการก็คือรัฐบาลจะแก้ปัญหาให้เป็นไปตามที่ได้คุยโม้เอาไว้เมื่อตอนหาเสียง ในเรื่องการ “กระชากค่าครองชีพ” ลงมาอย่างไร ทำให้สินค้าเกษตรขายได้ราคาดีอย่างไร เพราะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คนที่รวยเอามีแต่คนในรัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ และคนในครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น
สิ่งที่ชาวบ้านกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก หากเป็นเกษตรกรก็ไม่ใช่แค่ชาวสวนยางพารากับชาวสวนปาล์มน้ำมันเท่านั้นที่ทนไม่ไหวกับราคาที่ตกต่ำไม่คุ้มกับต้นทุนจนต้องออกมารวมตัวประท้วงกันอยู่ในเวลานี้ ยังมีเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพด หรือก่อนหน้านี้ก็มีมันสำปะหลัง หอมกระเทียม ราคาตกต่ำหมด หรือแม้กระทั่งราคาข้าวที่รัฐบาลกำลัง “เลือกปฏิบัติ” เลือกรักษาฐานเสียงใหญ่เอาไว้ด้วยการรับจำนำเอาไว้ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดกว่าสองเท่า แต่ปัญหาก็คือทำให้รัฐบาลต้องขาดทุนไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท และกำลัง “เข้าเนื้อ” ไปเรื่อยๆถ้ายังไม่เลิก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามที่พูดหาเสียงเอาไว้ แทนที่จะรับซื้อทุกเม็ด กลายมาเป็นมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น และส่งสัญญาณล่วงหน้าแล้วว่า ฤดูกาลหน้าอาจไม่มีการรับจำนำอีกแล้ว ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่รัฐบาล “ถังแตก”
ที่ผ่านมานโยบายประชานิยมของรัฐบาลล้วนแต่ต้องใช้เงินมหาศาลมีแต่รายจ่าย ขณะที่รายได้เข้ามาไม่สมดุล การส่งออกหดตัว เป็นสัญญาณที่อันตราย ยิ่งกลายเป็นตัวฉุดทำให้เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอยู่ในภาวะวิกฤติได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ “ห่วยแตก” เพียงใด และยังพิสูจน์ให้เห็นอีกว่าไม่มีความพร้อมสำหรับวิกฤติที่จะขึ้นในภายหน้าได้เลย
เวลานี้บรรยากาศความชื่นชมยินดีรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แทบจะตรงกันข้ามกับช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งใหม่ๆ ก่อนหน้านี้ ทั้งตัวยิ่งลักษณ์ และทักษิณ ชินวัตร คนที่ชักใยสั่งการรัฐบาลชุดนี้ทุกอย่างไม่ต่างจาก “เทวดา” ล้วนเป็นความหวังของคนไทย อย่างน้อยก็ 15 ล้านเสียงที่เทเสียงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเข้ามา โดยไม่สนใจภูมิหลังของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ถูกเสนอตัวให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แค่เป็น “น้องสาว” ของทักษิณ แม้ว่าจะมีประสบการณ์ทางการเมืองเพียงแค่ 49 วัน ไม่เคยมีประวัติในการต่อสู้และเสียสละเพื่อประชาชน เพื่อสังคม แต่เมื่อมาจากครอบครัวชินวัตร เพียงแค่นี้ก็โอเคแล้ว ประกอบกับมีการนำเสนอนโยบายประชานิยมที่เกทับบลั๊พแหลก และยิ่งบอกว่า “จะกระชากค่าครองชีพลงมา” มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ คะแนนเสียงไหลมาเทมากันแบบหน้ามืดตามัว ใครก็ตามถ้าใส่เสื้อพรรคเพื่อไทยเป็นอันได้รับการเลือกตั้งแทบทั้งหมด
แต่มาวันนี้บรรยากาศต่างกันราว “หน้ามือกับหลังเท้า” มีเสียงก่นด่ารัฐบาลมากขึ้นทุกวัน ชาวบ้านร้านตลาดมีการพูดถึงเรื่อง “ข้าวของแพง” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และรับรองว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับราคาสูงขึ้นไม่ใช่เป็นเพราะ “ความรู้สึก” อย่างที่คนในรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยชี้นำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าวแน่นอน
หลังจากวันที่ 1 กันยายนเป็นต้นมาก็เป็นวันดีเดย์การขึ้นราคาแก๊ซหุงต้มอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ไปจนถึงสิ้นปี มีการปรับขึ้นค่าไฟ หากเป็นคนที่อยู่ในกรุงเทพฯก็จะเจอกับการขึ้นค่าทางด่วน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งคนเมืองและในชนบทได้รับผลกระทบหมด สาหัสมากหรือน้อยแตกต่างกันไปเท่านั้น ซึ่งราคาพลังงานและค่าขนส่งดังกล่าวมีผลต่อค่าครองชีพที่หนักอยู่แล้วยิ่งสูงขึ้นไปอีก และอย่าได้แปลกใจมีการสำรวจพบ “หนี้ครัวเรือน” เพิ่มสูงขึ้นเกือบแตะร้อยละ 80 ของจีดีพีแล้ว
นี่ว่ากันเฉพาะปัญหาภายในล้วนๆ เท่าที่เห็นสารพัดม็อบที่กำลังทยอยออกมาประท้วงรัฐบาล หมดจากม็อบยางพารากับปาล์มน้ำมันต่อไปก็คงต้องพบกับม็อบข้าวโพดที่กำลังจ่อรออยู่ เพราะทุกอย่างเลวร้ายหมด ขณะที่ปัญหาจากภายนอกประเทศที่เป็นวิกฤติโลกที่กำลังมองเห็นถึงวิกฤติในประเทศซีเรีย ที่สหรัฐกำลังจ้องถล่ม ซึ่งถ้าเกิดขึ้นวันใด นั่นก็หมายความว่าราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นไปอย่างพรวดพราด จากเดิมที่อ่วมอยู่แล้ว จนไม่กล้าหลับตานึกภาพว่าจะรับมือกันอย่างไรไหว
ดังนั้น ด้วยปรากฏการณ์ที่รุมเร้าจากสารพัดปัญหา ทำให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทรุดเร็วกว่าที่คาด โดยเฉพาะผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง ราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำ ปัญหาหนี้สิน ที่ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า และสังเกตหรือไม่ว่าทุกโพลที่ออกมาหากถามเรื่องค่าครองชีพ ล้วนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “แพง” นั่นหมายถึงความล้มเหลวของรัฐบาล ชาวบ้านเขาไม่สนหรอกว่า เป็นเพราะกลไกตลาดโลก พวกเขามองแค่เฉพาะหน้าถ้าชักหน้าไม่ถึงหลัง ของขายไม่ออก นั่นแหละได้เวลาที่จะต้องไล่ไปให้พ้นแล้ว และเป็นไปได้ว่าอาจไม่ถึงสิ้นปี อาจเร็วกว่านั้นก็ได้!!