xs
xsm
sm
md
lg

บริหารแบบ “รัฐตำรวจ” อุ้มฆ่า-ดักยิง เลือกปฏิบัติ ก็นับถอยหลังได้เลย!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็น “เงา” ของ ทักษิณ ชินวัตร ถึงได้เลือกใช้วิธี"แบ่งแยกแล้วปกครอง"สร้างความแตกแยกในพื้นที่กันแบบนี้ หรือใช้วิธีการแบบ “รัฐตำรวจ” เป็นธงนำอย่างที่เห็นในเวลานี้ เพราะไม่ว่ามองในมุมไหนล้วนแล้วแต่ไม่ส่งผลดีกับรัฐบาลแน่นอน ในทางตรงกันข้ามนี่แหละจะเป็นการฉุดลากให้ “พัง” เร็วขึ้น

มันน่าแปลกใจทั้งที่บรรดากุนซือที่อยู่รอบข้างทั้ง ทักษิณ ชินวัตร มาจนถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้วนเต็มไปด้วย “ฝ่ายซ้ายรุ่นเก่า” เคยเคลื่อนไหวด้านมวลชน น่าจะเข้าใจความเดือดร้อนและมองปัญหาในแต่ละพื้นที่ได้เข้าใจบ้าง แต่นี่กลายเป็นว่าฝ่ายรัฐกลับเป็นฝ่ายที่ “สุมฟืนในกองไฟ” อยู่ตลอดเวลา คิดแต่จะใช้ “อำนาจ-กำลัง” เข้าปราบปรามอย่างเด็ดขาดอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่่กำลังมีความพยายามทำทุกทางเพื่อสลายม็อบชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันที่ประท้วงยืดเยื้อในพื้นที่อำเภชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราชอยู่ในเวลานี้

สิ่งที่รัฐบาลกำลังเร่งทำอยู่ก็คือตอกย้ำให้เห็นภาพอยู่ตลอดเวลา “เป็นม็อบการเมือง” ความหมายตั้งแต่ต้นก็คือ “เน้นอยู่แต่ว่าเป็นม็อบภาคใต้ เป็นม็อบประชาธิปัตย์” ที่คนพวกนี้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยกล่าวว่าพื้นที่ไหนลือกพวกเขาก็ให้ดูแลพื้นที่นั้นก่อน ซึ่งก็สอดคล้องกับความจริงที่กำลังเกิดขึ่นกับชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ที่แม้กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากราคาผลผลิตตกต่ำจนทนไม่ไหวต้องออกมาชุมนุม แต่รัฐบาลกลับมีเจตนาหมางเมิน ไม่ช่วยเหลืออย่างจริงจัง อ้างว่าต้องเป็นไปตาม “กลไกตลาด” ไม่ยอมเข้าแทรกแซงราคา อ้างว่าได้รับซื้อมาจนล้นสต็อกแล้ว ขณะที่สินค้าอื่นๆอย่างเช่นข้าว กลับทำในลักษณะสวนทางกัน กลับแทรกแซงรับซื้อสูงกว่าราคาตลาดถึงกว่าสองเท่า มาเก็บสต๊อกจนล้นกลายเป็นอาหารของมอด หนู แมลงสาบ ล้นโกดัง ที่ผ่านมาก็ขาดทุนไปแล้วกว่าสามแสนล้านบาท ก็ยังดันทุรังเดินหน้ต่อไปอีก หรืออ้างว่าข้าวขายได้ครั้งเดียว ส่วนยางกรีดได้ทุกวัน เป็นการพูดแบบบิดเบือน ไม่รู้ หรือมีเจตนาทำให้เกิดความแตกแยกเลือกปฏิบัติ เพราะข้าวก็มีนาปรัง แม้ว่าในภาคอีสาน ภาคเหนือจะเป็นนาปีส่วนใหญ่ แต่ก็มีระยะเวลาในการรบจำนำยาวนานเกือบทั้งปี ขณะที่สวนยางไม่ใช่กรีดได้ทุกวัน ต้องเว้นช่วงวันหยุดสัปดาห์หนึ่ง 2-3 วัน รวมไปถึงกรณีหน้ามรสุมฝนตกกรีดไม่ได้ ช่วงยางผลัดใบ เฉลี่ยแล้วปีหนึ่งมี 365 วันกรีดได้จริงราว 120-130 วันเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ปัญหาด้านราคา หรือผลผลิตล้นตลาดในเวลานี้ส่วนหนึ่งก็ล้วนมาจากการส่งเสริมให้ขยายพื้นที่ปลูกยางพาราไปทั่วประเทศ ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และมาวันนี้สิ่งที่รัฐบาล “หุ่นเชิด” ของ ทักษิณ ก็กำลังเริ่มรณรงค์ให้โค่นต้นยางเก่าที่มีอายุเกิน 25 ปี ซึ่งก็ล้วนเป็นยางในภาคใต้อีกแล้วให้หันมาปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งเวลานี้ไม่น่าเชื่อว่าราคาก็ตกต่ำเป็นประวัติการณ์จนชาวสวนต้องมารวมพลังประท้วงร่วมกับชาวสวนยางในตอนนี้ไงละ ดังนั้นหากให้ลดพื้นที่ปลูกยางแล้วหันมาปลูกปาล์มแทนมันก็ไม่ได้มีหลักประกันในเรื่องราคาผลผลิตแต่อย่างใด หากยังมีรัฐบาลที่บริหารด้วยระบบคิดที่ห่วยแตกแบบนี้

สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุค ทักษิณ ชินวัตร ก็คือ “รัฐตำรวจ” ใช้วิธีการบริหารแบบตำรวจใช้อำนาจบาตรใหญ่ กดขี่ข่มเหง ข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้าม “ไม่ต่างจากโจรในเครื่องแบบ” ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม หรือ “เลือกปฏิบัติ” ที่สำคัญตำรวจยุคนี้ส่วนใหญ่ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชสกระดับสูงลงมาต่างให้การ “เคารพนับถือโจร” ได้รับการสนับสนุนให้ได้ตำแหน่งจากโจร ซึ่งก็คือ ทักษิณ ที่เป็นนักโทษหลบหนีคดี มีคดีทุจริตติดตัว แต่กลับได้รับการยกย่องเชิดชู

ปรากฏการณ์รัฐตำรวจ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในภาคใต้ในม็อบชาวสวนยางเท่านั้น แต่เกิดขึ้นมานานนับปีแล้วตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารบ้านเมือง และนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนสร้างความเดือดดาลให้กับชาวบ้านที่ “ไม่เอาระบอบทักษิณ” มากขึ้นทุกวัน จากพฤติกรรมการใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม “ไร้มาตรฐาน” คงคิดว่าการใช้อำนาจรัฐข้ารังแกข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามจะสามารถปิดปากหรือกดหัวได้อยู่หมัด ซึ่งมันก็คงใช้ได้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่กลับสร้างความเก็บกดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งประกอบกับความล้มเหลวจากนโยบายของรัฐบาลในทุกเรื่องที่สะสมทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น รายไดของชาวบ้านลดลง รวมทั้งมีหนี้สินเพิ่มขึ้น เหมือนอย่างเวลานี้ยังมีการปรับขึ้นราคาพลังงาน เช่น ก๊าซหุงต้ม ขึ้นค่าไฟ ค่าทางด่วน สารพัด ขณะที่พวกที่รวยเอาๆก็มีแต่คนในครอบครัวของทักษิณ และคนในรัฐบาลเท่านั้น มันก็ย่อมทำให้ชาวบ้านเขา"เหลืออด"ต้องออกมาต่อต้าน และถึงเวลาหนึ่งแม้ว่ารัฐจะใช้กำลังเข้าปราบปรามหนักหน่วงแค่ไหนก็ไม่มีทางสำเร็จ ซึ่งบทเรียนในอดีตก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ แต่คนพวกนี้ก็ไม่เคยใส่ใจ

ปัญหาการประท้วงเรื่องราคายางพารา และปาล์มน้ำมันในภาคใต้ ที่ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อ นั้นเป็นเพราะรัฐบาลไม่เหลียวแล เหมือนกับว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ฐานเสียงของรัฐบาล โบ้ยแบบมักง่ายว่าเป็นม็อบการเมือง ทั้งที่จะเป็นม็อบการเมืองหรือไม่ก็ตามรัฐบาลก็ต้องเข้าไปเยียวยาช่วยเหลือให้เสมอหน้ากัน มีปัญหาขัดข้องอะไรก็ต้องไปเปิดอกพูดจาทำความเข้าใจ เช่น บอกว่ารัฐบาล “ถังแตก” ไม่มีเงินแล้ว ช่วยได้แค่นี้ก็ต้องว่ากันไป ไม่ใช่ผลักไสเป็นคนอื่น ทำเหมือนพวกเขาเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะในเวลานี้รัฐบาลกำลังจับ “คนภาคใต้เป็นตัวประกัน” พยายามปล่อยให้ม็อบชุมนุมยืดเยื้อไปเรื่อยๆ หลังจากใช้กำลังสลายไม่ได้แล้ว ก็ให้ชาวบ้านทั่วไปเกิดความเดือดร้อนกันทั่วหน้า เศรษฐกิจย่ำแย่ลงไปอีก โดยหวังว่าคนส่วนใหญ่จะหันมากดดันม็อบชาวสวนยางสลายตัว ซึ่งวิธีการแบบนี้มัน “เสี่ยง” ทำให้ภาคใต้ทั้งภาค “ลุกเป็นไฟ” จากที่มีปัญหาความรุนแรงในพื้นที่เฉพาะชายแดนใต้ ต่อไปมันก็มีโอกาสขยายลุกลามขึ้นมาได้ตลอดเวลา

เมื่อเป็นแบบนั้น มันก็ย่อมส่งผลให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ไม่ได้ ซึ่งเวลานี้ก็ใกล้จะนับถอยหลังเต็มทีแล้ว!!
กำลังโหลดความคิดเห็น