ตลอดระยะเวลา 2 ปีของโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ในราคาที่สูงกว่าตลาดโลก รัฐบาลพูดโกหก ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งออกแบบจีทูจี สต็อกข้าวในโกดัง ตัวเลขการขาดทุนของโครงการ และผลประโยน์ที่อ้างว่าจะไปตกอยู่กับชาวนา
เมื่อใดที่มีผู้เห็นต่าง คัดค้านโครงการนี้ โดยแสดงตัวเลข ข้อมูล ซึ่งมีที่มาที่ไปชัดเจน ให้เป็นที่ประจักษ์ รัฐบาลทำได้อย่างมากก็เพียงอ้างลอยๆ ว่า ความเห็น ข้อมูลของผู้ที่เห็นต่างเหล่านั้น ไม่จริง แต่ไม่สามารถนำข้อมูล หลักฐาน มาพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ที่ว่าไม่จริงนั้น ตรงไหน และที่ว่า จริงนั้น จริงอย่างไร
ข้อตอบโต้นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการ เหตุผล บางครั้งก็เป็นเหตุผลแบบเอาสีข้างเข้าถู เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ต่างอย่างไร ตัวอย่างเช่น นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ใช้เหตุผลแบบเด็กๆ ตอบโต้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีให้เลิกโครงการจำนำข้าวเพราะขาดทุนมหาศาลว่า คนจบเศรษฐศาสตร์ไม่รู้เรื่องบัญชี
หรือนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้เคยบริหารธุรกิจหมื่นล้าน ของตระกูลชินวัตร และนายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้โกหกตัวเองว่า รอให้ประเทศอื่นขายข้าวให้หมดก่อน หลังจากนั้นประเทศไทยจะตั้งราคาขายสูงแค่ไหน ก็มีคนซื้อ สองคนนี้ ทำเป็นไม่เข้าใจหลักการบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือ ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบัน หรือ Mark To Market อันเป็นมาตรฐานการบัญชีทั่วไป ด้วยการโกหกว่า ที่ ม.ร.ว.ปริดิยาธรบอกว่าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุน 4.2 แสนล้านนั้น ไม่จริง การขาดทุนไม่น่าจะเกินแสนล้าน เพราะยังขายข้าวไม่หมด
ล่าสุด ต้องลากตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเล่นละครโกหก โดยอ้างว่า จีนจะซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยในห้าปีข้างหน้า ปีละ 1 ล้านตัน เป็นการโกหกแบบไม่ต้องคิดถึงเลยว่า ฝ่ายจีนจะรู้สึกอย่างไร เพราะหนึ่งวันก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีจีน นายหลี่ เคอ เฉียง กล่าวสุนทรพจน์ ต่อรัฐสภาไทยว่า จีนจะซื้อข้าวจากไทยจำนวน 1 ล้านตัน ในช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้า หรือเฉลี่ยปีละ 2 แสนตัน ซึ่งปกติจีนก็ซื้อข้าวจากไทยในปริมาณที่ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านี้อยู่แล้ว
ในข้อตกลง 6 ฉบับที่นายกฯ จีน ลงนามร่วมกับ นายกฯไทย ในโอกาสที่เกินทางมาเยือน ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่ เป็นข้อตกลงว่า จีนจะซื้อข้าวจากไทย เพราะปกติ ผู้ซื้อคือเอกชนจีน ไม่ใช่รัฐบาลจีน
การดิ้นรนอย่างหนัก กระทั่งฉกฉวยเอาโอกาสที่ผู้นำจีนมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ มาปั้นน้ำเป็นตัว แสดงให้เห็นว่า ปัญหาโครงการจำนำข้าว ที่หมักหมม ถูกปกปิดมาตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เอาไม่อยู่แล้ว
ไม่ว่าจะโกหกอย่างไร สุดท้ายหนีความจริงไปไม่พ้น ความจริงที่ว่านี้ เกิดขึ้นกับชาวนาหลายๆ จังหวัด ยังไม่ได้รับเงินจากการจำนำข้าวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว คิดเป็นเงินประมาณ 6 พันล้านบาท ใบประทวนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.ออกให้กับชาวนาที่นำข้าวมาขายให้ ไม่ต่างอะไรกับเช็คเด้ง เพราะ ธ.ก.ส.ไม่มีเงินจ่าย เนื่องจากรัฐบาลไม่ส่งเงินมาให้
ในขณะที่เงินที่จะนำมารับจำนำข้าวในฤดูกาล 2556/2557 จำนวน 2.7 แสนล้านบาท รัฐบาลยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหน วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ ให้ ธ.ก.ส.จ่ายทดรองไปก่น 1.4 แสนล้าน
ปรากฏการณ์ในขั้นต้นน้ำนี้คือ เงินที่จะจ่ายให้กับชาวนา ขาดมือ เป็นสัญญาณที่บอกว่ารัฐบาลถังแตกแล้ว จากโครงการจำนำข้าว เพราะข้าวสารค้างอยู๋ในโกดังไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน ขายไม่ออก ยิ่งเก็บไว้นานคุณภาพก็ยิ่งเสื่อมลงตามลำดับ
เกษตรกรซึ่งอยู่กับข้อเท็จจริง รู้ดีที่สุดว่า โครงการจำนำข้าวมาถึงสุดซอยแล้ว นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย คาดการณ์ว่า โครงการจำนำข้าวจะดำเนินการไปไม่ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เพราะ รัฐบาลไม่มีงบประมาณในการดำเนินโครงการรอบใหม่ และยังมีหนี้ที่ต้องจ่ายให้ชาวนาที่นำข้าวมาจำนำในรอบก่อน คงค้างอยู่ด้วย
นายกสมาคมชาวนาไทย ยังเสนให้รัฐบาล หันไปใช้วิธีประกันราคาข้าว โดยจ่ายส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาประกัน ไปยังชาวนาโดยตรง เพราะโครงการจำนำข้าว เงินไม่ถึงมือชาวนา
สองปี ย่างเข้าปีที่สามของโครงการจำนำข้าว ทีดีอาร์ไอ ประเมินว่า มีผลขาดทุนไม่ต่ำกว่า 4-8 แสนล้านบาท หากขายข้าวในสต็อกได้หมดใน 5 ปีก็ขาดทุนประมาณ 4 แสนล้านบาท หากขายไม่หมดก็อาจจะขาดทุนถึง 8 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตเกษตรกรดีขึ้น เพราะส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของเครือข่ายระบบทักษิณ ที่ออกแบบไว้รองรับโครงการคอร์รัปชั่นจากการจำนำข้าวนี้ แต่คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับผลขาดทุนนี้ นอกจากนี้ ระบบการส่งออกข้าวของภาคเอกชน ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้
นี่คือมรดกบาปที่พี่น้องตระกูลชินวัตรสร้างไว้ นีคือสิ่งที่ทุกคนจะได้เห็น เมื่อโครงการรับจำนำข้าว มาถึงสุดซอยในไม่ช้านี้