xs
xsm
sm
md
lg

จำนำข้าว ประชานิยม “ขี่หลังเสือ” ต้องเดินหน้าลงนรกสถานเดียว!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ไม่น่าแปลกใจกับผลสำรวจของ “มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย” ที่ระบุว่า จากการสำรวจชาวนาทั่วประเทศมีความพึงพอใจกับนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยอ้างว่าทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ลืมตาอ้าปากได้ และยังทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สามารถซื้อที่ดิน ซื้อรถยนต์และสิ่งอำนวยความสะดวกได้มากขึ้น และที่สำคัญไม่เห็นด้วยหากมีการยกเลิกโครงการดังกล่าว โดยขู่ว่าหากยกเลิกชาวนาก็จะประท้วงทันที

ก็จะไม่ชอบได้อย่างไร ในเมื่อนโยบาย “รับจำนำข้าว” ก็คือ “การรับซื้อข้าวทุกเมล็ดสูงกว่าราคาตลาด” และยังเอื้อต่อการทุจริต เวียนเทียน สวมสิทธิ์ กันได้แบบโจ๋งครึ่ม ขนาดชาวนาที่ถือว่าได้ประโยชน์ในระดับ “ปลายน้ำ” ยังได้มากจนพอใจ แล้วลองดูเอาก็แล้วกันว่าระดับ นักการเมือง พ่อค้าโรงสีจะ “ได้” กันขนาดไหน แม้ว่าตามราคาที่กำหนดเอาไว้ว่ารับจำนำในราคาตันละ 15,000 บาท นั้นในความเป็นจริงแล้วจะไม่ได้ตามราคาเต็มดังกล่าว เพราะต้องถูกหักความชื้น หักสิ่งเจือปนสารพัดราคาจริงอาจได้แค่ 8,000-12,000 บาท แต่ก็ถือว่ากำไร เพราะราคาดังกล่าวก็ยังสูงกว่าราคาตลาด

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นความพอใจของชาวนา ซึ่งก็ไม่ผิด ซึ่งหากจะว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะชาวนาไทยลำบากมานาน มีหนี้สินมากมาย เมื่อชาวนามีรายได้เพิ่ม มีชีวิตที่ดีขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องดี

แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาตามมาก็คือ นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มาจาก ทักษิณ ชินวัตร คิด แล้วให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไปทำนั้นมันเป็น “ประชานิยมที่มักง่าย” เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ทำลายระบบตลาดแบบการแข่งขันจนย่อยยับ เพราะรัฐบาลกลายเป็นพ่อค้าข้าวที่ไปกว้านซื้อข้าวมาขายแข่งกับเอกชน แต่ผลที่กลับมาก็คือ “การขาดทุน” ป่นปี้ และที่สำคัญเงินที่ขาดทุนนั้นคือ “เงินงบประมาณ” จนกระทบต่อฐานะวินัยทางการคลังของชาติ

กว่าสองปีที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าว ตั้งแต่ฤดูกาลปี 55/56 ทั้งข้าวนาปีและนาปรัง ทำให้รัฐบาลใช้งบประมาณทุ่มลงไปกว่า 6 แสนล้านบาท และมีตัวเลขขาดทุนไปแล้วไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท นี่ว่ากันเฉพาะตัวเลขที่มีการตรวจสอบและยอมรับกันออกมาในบางส่วน ยังมีตัวเลขที่พยายามปกปิดซุกซ่อนเอาไว้อีกมากมาย

ที่สำคัญยังมี “ข้าวเน่า” ที่รัฐบาลกว้านซื้อ(รับจำนำ) มากองรวมอยู่ในโกดังอีกเกือบยี่สิบล้านตัน กำลังเสื่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ข้าวในฤดูกาลใหม่กำลังจะเข้ามาเพิ่มสมทบ ซึ่งหลายคนได้รับรู้ และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันหลายภาคส่วน ทั้งนักวิชาการ และเอกชนที่เป็นพ่อค้าส่งออก ที่ระบุว่านโยบายรับจำนำข้าวนอกจากทำลายระบบวินัยการเงินการคลังแล้ว ยังเกิดการทุจริตกันอย่างมโหฬารเพราะเกิดขึ้นทุกขั้นตอน

ผลกระทบที่กระทบในวงกว้างจากนโยบายรับจำนำข้าว สิ่งแรกที่ได้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ได้ทำลายการส่งออกข้าวไทยจนป่นปี้ เพราะจากเดิมที่ไทยเคยเป็นประเทศที่ส่งออกได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก เวลานี้ร่วงลงมาอยู่ในอันดับ 3-4 เพราะมีราคาสูงกว่าตลาดเกือบสองเท่า และมีแนวโน้มร่วงลงไปอีก เพราะได้ทำให้คุณภาพของข้าวไทยด้อยลงจนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นและหันไปซื้อข้าวในประเทศคู่แข่ง อย่างเวียดนาม อินเดีย และต่อไปในอนาคตอีกไม่นานก็จะมีคู่แข่งใหม่ที่น่ากลัวนั่นคือ ข้าวจากพม่าที่กำลังกลับมาส่งออกใหม่หลังจากมีการเปิดประเทศอย่างขนานใหญ่

ผลจากการขาดทุนต้องเสียงบประมาณจำนวนมหาศาล ไปกับโครงการประชานิยมหลักอย่าง รับจำนำข้าวดังกล่าว ที่ดำเนินการไปแล้วอย่างน้อยสองฤดูกาล ทั้งข้าวนาปีและนาปรัง จนบีบรัดตัวเองให้ต้องลดขนาดวงเงินมาไม่เท่าเดิม นั่นคือจากเดิมที่เคยรับซื้อทุกเมล็ด กลายมาเป็นมีเงื่อนไข เช่นในปีนี้รัฐบาลจะรับจำนำข้าวในฤดูกาลใหม่ปี 56/57 สำหรับข้าวนาปีในราคาตันละ 15,000 บาท โดยกำหนดวงเงินให้ครัวเรือนละไม่เกิน 3.5 แสนบาท และข้าวนาปรังราคาตันละ 13,000 บาท ครัวเรือนละ 3 แสนบาท ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการ “ดิ้นไม่ออก” มีความจำเป็นบังคับให้ต้องทำแบบนี้ นั่นคือ รัฐบาล “ถังแตก” กำลังขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่อาจระบายข้าวออกไปขายต่างประเทศ อันเนื่องจากไม่มีใครซื้อเพราะราคาสูง ขณะเดียวกัน ถ้าปล่อยออกไปราคาถูกนอกจากขาดทุนแล้วยังอาจยิ่งทำให้ราคาข้าวตกลงไปอีก

ดังนั้น หากพิจารณาจากผลสำรวจดังกล่าวที่ระบุว่า ชาวนามีความพอใจกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ก็ต้องบอกว่าเป็นความจริงอย่างที่สุด เพราะนี่คือนโยบายประชานิยมที่เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่ทำให้ชาวบ้าน “เสพติด” และเลิกไม่ได้ อย่าว่าแต่จะเลิกเลย เอาแค่ขอลดราคาจำนำลงจากตันละ 15,000 บาท เหลือตันละ 12,000 บาท ก็ยังเกิดปฏิกิริยาไม่พอใจอย่างรุนแรงกลับมาจนทำให้รัฐบาลต้องพลิกมติใหม่เพียงชั่วข้ามคืน ก็เคยเห็นมาแล้ว ขณะเดียวกัน นโยบายประชานิยมแบบนี้ไม่ต่างจากการ “ขี่หลังเสือ” จะลงกลางคันไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเสี่ยงต่อจุดจบของรัฐบาล มีทางเดียวต้องดันทุรังเดินหน้าต่อไป จนเจ๊งคามือ

ซึ่งหลายนโยบายกำลังเริ่มส่งผลกระทบออกมาให้เห็นเรื่อยๆ แล้ว หลังจากที่เริ่มส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการจับจ่าย เกิดหนี้สินภาคครัวเรือน มีแนวโน้มหายนะรออยู่ตรงหน้าแทบทั้งสิ้น!!
กำลังโหลดความคิดเห็น