ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- เจอแรงต้านกฎหมายนิรโทษกรรมจากทุกทิศทุกทางจนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและสภาทาสเพื่อแม้วเละเป็นโจ๊ก แต่แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีระเบิดลูกใหญ่ที่กำลังรอจะถล่มซ้ำในวันที่ 11 พ.ย. 56นี้ ที่ศาลโลกจะตัดสิน “คดีปราสาทพระวิหาร” หากผลออกมาว่าไทยแพ้เขมร รัฐบาลเป็นเจอดีแน่ เพราะดันทุรังไปทำข้อตกลงล่วงหน้ากับกัมพูชาเสร็จสรรพแล้วว่ายินดีปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก ทั้งที่มีข้อท้วงติงว่าอย่าเพิ่งไปผูกมัดตัวเองอย่างนั้น
ไม่นับว่ากลุ่มธรรมยาตรา เรียกร้องให้ยืนกรานปฏิเสธอำนาจศาลโลกท่าเดียว ดังนั้น อย่าคิดว่ามีแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะยิ่งเละ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่ดันทะลึ่งตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการของศาลโลกตามเกมฝ่ายเขมรตั้งแต่ต้นก็ตกเป็นเป้าเช่นกัน
แต่ก่อนที่คำตัดสินของศาลโลกจะชี้เป็นชี้ตาย มาฟังทีมกฎหมายของไทยที่นำโดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทยในการต่อสู้คดีการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 วิเคราะห์แนวทางคำตัดสินคดีอีกครั้งว่า ใน 4 แนวทางที่ศาลโลกจะตัดสินนั้น แนวทางไหนมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด
หากประมวลข้อมูลในการเดินสายชี้แจงต่อสื่อและต่อประชาชนในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ของคณะกฎหมายฝ่ายไทย ทูตวีรชัยได้ย้อนคดีปูพื้นฐานให้เห็นการต่อสู้คดีของสองฝ่ายว่า กัมพูชาขอให้ศาลโลกตัดสินว่าพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหารเป็นดินแดนของกัมพูชา และต้องเป็นไปตามเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
ส่วนไทยต่อสู้ตรงที่ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก แต่หากศาลโลกเห็นว่ามีอำนาจก็ไม่มีเหตุต้องตีความ เนื่องจากไทยและกัมพูชาไม่มีความเห็นต่างในคำตัดสิน และไทยเห็นว่าศาลโลกควรตัดสินว่าเมื่อปี 2505 เส้นเขตแดนไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และไม่ได้กำหนดขอบเขตใกล้เคียงปราสาทฯ
สำหรับแนวโน้มการตัดสินของศาลโลก มีข้อสรุปว่า น่าจะออก 4 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 ศาลอาจจะตัดสินว่าศาลไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดี หรือศาลมีอำนาจ แต่ไม่เหตุที่จะต้องตีความ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างกลับไปอยู่ในสถานะเหมือนเดิมก่อนที่จะมีการยื่นฟ้องศาลโลก หมายถึงว่าศาลโลกไม่ได้ตัดสินตามคำขอของกัมพูชาที่ขอให้ศาลโลกตัดสินเรื่องเขตแดนและแผนที่
หากออกมาตามแนวทางนี้ รัฐบาลไทยก็คงรักษาสถานะเดิมเอาไว้ได้ คือ เสมอตัว แต่ฝั่งกัมพูชา รับรองว่ารัฐบาลสมเด็จฯฮุนเซน มีปัญหาแน่ เพราะคุยโวไว้เยอะและนำเอามาเป็นประเด็นหาเสียงจนกระทั่งชนะเลือกตั้งมาแล้ว
แนวทางที่ 2 ศาลอาจตัดสินว่าขอบเขตพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นไปตามเส้นเขตแดนบนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นไปตามคำฟ้องของฝ่ายกัมพูชาหรือใกล้เคียง ซึ่งประเด็นนี้ทูตวีรชัย สู้ในคำให้การต่อศาลว่ามีการปลอมแปลงแผนที่ โดยนำเอาแผนที่หมายเลขและหมายเลข 4 มาทับซ้อนกัน
หากศาลโลกตัดสินตามคำขอของกัมพูชา จะส่งผลให้พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารถูกกำหนดโดยเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200000 ระวางดงรัก นั่นหมายความว่า ไทยจะเสียสิทธิเหนือพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม. ถ้าเป็นเช่นนั้น งานนี้มีหวังทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์และฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ ถูกถล่มเละแน่ เพราะเป็นต้นเหตุให้ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดน การประท้วงที่มีเวทีตั้งรออยู่แล้วทั่วกรุงเทพฯ จะต่อเนื่องจากประเด็นนิรโทษกรรมทันที มีโอกาสที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะพังเร็วยิ่งขึ้น
แนวทางที่ 3 ศาลอาจตัดสินเป็นไปตามคำร้องของฝ่ายไทย หมายถึงขอบเขตปราสาทพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีไทย เมื่อ พ.ศ.2505 เป็นไปโดยถูกต้องและต้องตามคำพิพากษาเดิม หรือศาลอาจพิจารณาว่าการปฏิบัติของไทยไม่เพียงพอตามที่กัมพูชาเคยขอไว้ในคดีเดิม ซึ่งแนวทางนี้ ถ้าใกล้เคียงกับที่กัมพูชาขอเมื่อปี 2505 อาจมีพื้นที่ที่ไทยต้องคืนให้แก่กัมพูชาเล็กน้อย ประมาณ 43 ไร่ แต่อย่างไรก็ตาม คำฟ้องของกัมพูชาต่อศาลโลก กัมพูชาไม่ได้ขอพื้นที่แค่นั้น แต่ขอให้คลุมถึง 4.6 ตร.กม. ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
ถ้าศาลโลกตัดสินออกมาตามแนวทางนี้ รัฐบาลไทยและกัมพูชา ถูกประชาชนรุมยำด้วยข้อหาว่าแพ้คดีทั้งคู่และทำให้เสียดินแดนทั้งสองฝ่าย
แนวทางที่ 4 คือ ศาลอาจไม่ตัดสินให้เป็นไปตามคำร้องทั้งของไทยและกัมพูชา โดยอาจจะกำหนดขอบเขตพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารขึ้นมาใหม่ เรียกว่าเป็นการตัดสินแบบออกมาเป็นกลางๆ หรืออาจจะตัดสินว่า คำพิพากษาปี 2505 หมายความว่าอย่างไร และให้คู่กรณีไปปรึกษาหารือกัน ไปตกลงเจรจากันเรื่องเขตแดน โดยศาลโลกอาจจะให้แนวทางในการเจรจากัน
ตามแนวทางนี้ ต้องจับตาว่าในการเจรจาตกลงกัน ฝ่ายใดจะได้ประโยชน์ แต่รัฐบาลทั้งสองประเทศก็จะรอดพ้นข้อกล่าวหาทำให้เสียดินแดนจากคำตัดสินของศาลโลก
ทูตวีรชัยวิเคราะห์ว่า แนวทางที่ 1 เป็นไปได้น้อยที่สุด ส่วนแนวทางที่ 2 และ 3 มีความเป็นไปได้มากกว่าแนวทางที่ 1 เล็กน้อย ซึ่งคณะทำงานฝ่ายไทยเห็นว่า แนวทางที่ 4 โดยให้ทั้งสองฝ่ายไปปรึกษาหารือกันมีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่คำพิพากษาของศาลมีความยืดหยุ่นและคาดเดาได้ยากมาก
"การที่ศาลจะตัดสินในแนวทางที่ 2 เป็นไปได้น้อย เพราะต้องผ่านถึง 4 ชั้น ได้แก่ พื้นที่ใกล้เคียงเป็นดินแดนของกัมพูชาและดินแดนกัมพูชาต้องเป็นไปตามเขตแดน โดยเขตแดนดังกล่าวเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และการถ่ายทอดเส้นจากแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ต้องเป็นไปตามที่กัมพูชาเห็นไว้" ทูตวีรชัยอธิบาย
คำตัดสินของศาลโลกในวันที่ 11 พ.ย. 56 นี้ อาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปัญหาเขตแดนและแผนที่ระหว่างไทยและกัมพูชา ต้องรอติดตามว่า คำตัดสินจะออกเช่นใด และหลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกหรือไม่ อย่างไร เพราะคำสั่งศาลไม่มีเงื่อนไขเวลากำหนดไว้ อีกทั้งยังต้องรอติดตามว่าการเจรจากันระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาลสมเด็จฯ ฮุนเซน ต้าอวยกันล่วงหน้าแล้วนั้น ฝ่ายไหนจะมีข้อต่อรองและได้ประโยชน์มากกว่า
อย่าถามว่า ทหารพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยอย่างถึงที่สุดหรือไม่ เพราะท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก นั้นแม้ปากจะยืนยันหนักแน่นว่าทหารทุกหมู่เหล่าพร้อมปกป้องอธิปไตย แต่ที่ผ่านมาสังคมก็เห็นว่า นายพลคนนี้เดินตามก้นรัฐบาลต้อยๆ คือ ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ต้องฟังคำสั่งของรัฐบาลเสียก่อนว่าจะให้สู้หรือถอย
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นท่าทีของรัฐบาลและฝ่ายกองทัพ ซึ่งไม่ใช่ว่าภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวต่อสู้ในประเด็นนี้มาอย่างต่อเนื่องจะยินยอมพร้อมใจรับฟังและเดินตาม โดยเฉพาะกลุ่มธรรมยาตรา และกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ที่มีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านคำพิพากษาศาลโลก
นายไชยวัฒน์ ตั้งลำไว้รอแล้วว่า กลุ่มของเขาจะยึดแนวทางตามขบวนการเสรีไทย คือ ปฏิเสธสิ่งที่รัฐบาลไปกระทำหรือยอมรับคำตัดสินของศาลโลก โดยจะเดินเรื่องไปที่เลขาธิการสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) และตุลาการศาลโลก เพื่อความชอบธรรมของไทย ซึ่งถ้าแพ้คดีกลุ่มนี้จะใช้โมเดลเดียวกับขบวนการเสรีไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเรียกร้องให้คนไทยรวมพลังเคลื่อนไหวไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งเวลานี้มีการประสานกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังเคลื่อนไหวเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อกำหนดทิศทางเอาไว้แล้ว
งานนี้ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ถอยร่นจนสุดซอย และไม่แน่ว่าจะถูกรุมยำจนไม่เหลือชิ้นดีหรือไม่ เอ้า ! เริ่มนับถอยหลังกันได้เลยพี่น้อง