xs
xsm
sm
md
lg

ดีเดย์ชี้ขาดปมพระวิหาร ไทยเสียเปรียบเต็มประตู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สะเก็ดไฟ

และแล้วก็ถึงวันที่คนไทยทั้งประเทศต้องลุ้นระทึกที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย กับผลการพิจารณาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา

เมื่อเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในนาม “ศาลโลก” ได้นัดหมายให้สองฝ่ายรับฟังคำพิพากษา “คดีปราสาทพระวิหาร” ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

หลังจากที่สองฝ่ายได้แถลงด้วยวาจาปิดคดีปราสาทพระวิหาร ไปเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และต่างก็หยิบยกหลักฐานขึ้นมาต่อสู้ ทั้งในเรื่องของพื้นที่ตัวปราสาท และพื้นที่ทับซ้อนจำนวน 4.6 ตารางกิโลเมตร เพื่อยืนยัน “เขตอธิปไตย” ของประเทศตนเอง

โดยล่าสุด “กระทรวงการต่างประเทศ” ก็ได้ประเมินแนวทางคำพิพากษา “ศาลโลก” ออกมาเป็น 4 แนวทาง ซึ่งก็ตรงกับที่ผู้เชี่ยวชาญ-นักวิชาการที่เกาะติดเรื่องนี้คาดการณ์ไว้เช่นกัน

แนวทางที่ 1 ศาลอาจจะตัดสินว่าศาลไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดี หรือหากศาลมีอำนาจ แต่ไม่เหตุที่จะต้องตีความ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างกลับไปอยู่มราสถานะเดิมก่อนที่จะมีการยื่นฟ้องที่ศาลโลก

แนวทางที่ 2 ศาลอาจตัดสินว่าขอบเขตพื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหารเป็นไปตามเส้นเขตแดนบนแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งเป็นไปตามคำฟ้องของ “ฝ่ายกัมพูชา” หรือใกล้เคียง

แนวทางที่ 3 ศาลอาจตัดสินเป็นไปตามคำร้องของ “ฝ่ายไทย” หมายถึงขอบเขตปราสาทพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีไทย เมื่อ พ.ศ. 2505

และ แนวทางที่ 4 ศาลอาจไม่ตัดสินให้เป็นไปตามคำร้องทั้งของไทยและกัมพูชา โดยอาจจะกำหนดขอบเขตพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารขึ้นมาใหม่

พินิจพิเคราะห์แล้วก็มีเพียง แนวทางที่ 3 เท่านั้นที่ “ฝ่ายไทย” จะได้ประโยชน์ที่สุด ส่วนที่ 3 แนวทางที่เหลือไม่ว่าออกหน้าไหน “ฝ่ายไทย” ก็มีแต่เสียกับเสีย อยู่ที่ว่าจะเสียมากเสียน้อยเท่านั้น

เสียในที่นี้ก็หมายความไปถึง “อธิปไตย” และ “แผ่นดินไทย”

ไล่เรียงตั้งแต่ แนวทางที่ 1 ที่ “ศาลโลก” อาจ “ตัดช่องน้อยพอตัว” วินิจฉัยว่าตัวเองไม่มีอำนาจตัดสินในเรื่องนี้อีก หลังจากที่เคยชี้ขาดในสิทธิครอบครองเหนือ “ตัวปราสาทพระวิหาร” ให้แก่ทางกัมพูชาไปเมื่อปี 2505 การที่ “ฝ่ายกัมพูชา” นำข้อพิพาทในเรื่องขอบเขตโดยรอบตัวปราสาทมายื่นให้วินิจฉัยนั้นต้องถือเป็น “คดีใหม่” ที่ศาลไม่มีอำนาจรับ

ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องลงละเอียดข้อต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย

แม้เรื่อง “อำนาจศาล” จะเป็นประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่ “ฝ่ายไทย” นำไปต่อสู้ในชั้นศาลมาโดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะส่งผลดีเสียทีเดียว เพราะหากคำตัดสินเป็นไปในทางนี้จริงๆ หมายความทุกอย่างต้องย้อนกลับไปสู่สภาวะก่อนหน้าที่ “ฝ่ายกัมพูชา” จะหอบเรื่องไปฟ้องต่อศาล

ต้องไม่ลืมว่าในวันนั้น “ฝ่ายไทย” ถือว่า “ฝ่ายกัมพูชา” รุกล้ำอธิปไตยของสยามประเทศเข้ามาแล้ว ทั้งวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ หมู่บ้านชาวกัมพูชา หรือกองกำลังติดอาวุธ ที่แทรกซึมรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เป็นของ “ฝ่ายไทย”

สรุปว่าถ้าออกหน้านี้ ปัญหาข้อพิพาทก็ยังไม่จบ

ถัดมา แนวทางที่ 2 ซึ่งถือว่า “ฝ่ายไทย” จะเสียหายที่สุด หาก “ศาลโลก” เห็นคล้อยตาม “ฝ่ายกัมพูชา” และตัดสินให้เป็นไปตามคำร้องที่ยื่นเข้าไป เพราะนั่นแสดงว่าประเทศไทยจะสูญเสียอธิปไตยและดินแดนมากกว่า 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยซ้ำ

ที่สำคัญ “แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน” จะถูกตีตรารับรองอย่างเป็นทางการ

ส่งผลให้แผ่นดินไทยที่ติดกับประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี จนถึง จ.ตราด และพื้นที่ทางทะเลที่อุดมไปด้วย “พลังงาน” มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก “ฮุบ” ไปโดยเพื่อนบ้าน ตาม “แผนที่เถื่อน” ฉบับที่ว่า

ซึ่งแนวทางนี้คนไทยทั้งชาติต้องร่วมกันภาวนาไม่ให้เกิดขึ้น

ในส่วน แนวทางที่ 4 ที่ว่าถึงโอกาสที่ศาลอาจจะกำหนดขอบเขตพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารขึ้นมาใหม่ หรือพูดกันง่ายๆ คือ ออก “ทางสายกลาง” ให้สองฝ่ายแบ่งสรรปันส่วนพื้นที่ที่มีปัญหากัน

ดูเหมือนเป็นทางออกที่ดี แต่ต้องไม่ลืมว่าคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 ให้สิทธิครอบครอง “ตัวปราสาทพระวิหาร” เท่านั้น ไม่ได้หมายรวมถึงพื้นที่โดยรอบหรือเส้นเขตแดนแต่อย่างใด

หากออกหน้านี้ก็เท่ากับ “ฝ่ายไทย” ต้องสูญเสียดินแดนอธิปไตย แม้จะไม่มากเท่า แนวทางที่ 2 แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะการเสียแผ่นดินไม่ว่าจะตารางนิ้วเดียว หรือกี่ตารางกิโลเมตร ก็ถือเป็นการสูญเสียอธิปไตยเช่นกัน

มองดูแล้วต้องยอมรับว่า “ฝ่ายไทย” เข้าตาจน ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบเต็มประตู เพราะแต่ละแนวทางก็หนีไม่พ้นการสูญเสียดินแดนอธิปไตย ส่วน แนวทางที่ 3 ที่ “ฝ่ายไทย” จะได้ประโยชน์ที่สุดนั้น ก็ถือว่ามีโอกาสจะเกิดน้อยขึ้นที่สุด เพราะข้อต่อสู้ของฝ่ายไทยในชั้นศาลนั้น เป็นไปในลักษณะ “ตั้งรับ” แก้ต่างคำร้องของ “ฝ่ายกัมพูชา” เท่านั้น

ประเมินดูแล้ว ไม่ว่าออกหน้าไหนก็ “พี่ไทย” ก็ตกที่นั่งลำบาก
กำลังโหลดความคิดเห็น