ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ท่าทางจะไปไม่รอดเสียแล้ว สำหรับ “รัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้ระบอบทักษิณ” ที่ขณะนี้ถูกรุมถล่มจากมวลมหาประชาชนสารพัดกลุ่มจากทุกสารทิศทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น คณาจารย์ นักศึกษา ประชาชน นักธุรกิจ นักกฎหมาย แพทย์-พยาบาล ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ศิลปินดารา ไม่เว้นแม้แต่คนเสื้อแดงบางกลุ่มซึ่งรับไม่ได้กับกฎหมายนี้ ต่างก็ลุกฮือออกมาชุมนุมต่อต้านการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน และมีทีท่าว่าจะบานปลายกลายเป็นการขับไล่รัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งได้รับการขนานนามจากสื่อต่างชาติว่าเป็น 'รัฐบาลเผด็จการจากการเลือกตั้ง' ให้พ้นจากอำนาจ
ส่งผลให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องถอยกันสุดซอยชนิดไปไม่เป็นทีเดียว แม้ว่าก่อนหน้านี้ 'นายใหญ่' ซึ่งเห็นท่าไม่ดีรีบส่งสัญญาณให้ ส.ว.สายเพื่อไทย นำโดย นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานสมาชิกวุฒิสภา ออกมาประกาศคว่ำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ตั้งแต่เข้าสู่การพิจารณาวาระแรก เพื่อลดกระแสต่อต้าน แต่การเคลื่อนไหวคัดค้านของมวลชนก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย กลับทวีความร้อนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากประชาชนที่ติดตามและศึกษาเรื่องการออกกฎหมายย่อมรู้ดีว่าแม้ ส.ว.จะคว่ำร่างก็ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายนี้จะตกไปเพราะ ส.ส.เพื่อไทยซึ่งเป็นเสียงข้างมากของสภายังสามารถยืนยันที่จะนำกฎหมายดังกล่าวกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้อีก เนื่องจากขั้นตอนในการพิจารณากฎหมายระบุไว้ว่าหากกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ เข้าสู่ขั้นการพิจารณาของวุฒิสภา แต่วุฒิสภาโหวตไม่รับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯที่ส่งมาจากสภาผู้แทนราษฎร ทางสภาผู้แทนราษฎรจะต้องรอไว้ 180 วันจึงจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาว่าจะยืนยันร่างเดิมหรือไม่ ส่งผลให้มวลชนกลุ่มต่างๆดาหน้ากันออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น
ยิ่ง 'จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ' ส.ส.สุรินทร์ จากพรรคเพื่อไทย ออกมาตอกย้ำว่า การ คว่ำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของวุฒิสภา เป็นเพียงแค่การสับขาหลอก ชะลอเวลาเพื่อให้มวลชนตายใจจะได้สลายการชุมนุมจากนั้นค่อยกลับเข้ามาพิจารณาในสภาใหม่ในอีก 180 ข้างหน้า ประชาชนคนไทยก็ยิ่งมั่นใจว่ายังไงเสียรัฐบาลชุดนี้ก็ต้องเดินหน้านิรโทษกรรมสุดซอย 'พานายใหญ่กลับบ้าน' ให้จงได้ มวลมาหาประชาชนจึงหลั่งไหลกันออกมาชุมนุมต่อต้านร่างนิรโทษกรรมอย่างไม่ขาดสาย
“ ร่างนิรโทษกรรมเรารู้ว่ามันลำบากในขั้นวุฒิสภา แต่พวกเรายังไม่หมดหวัง เราก็ดองตามระเบียบ ตามขั้นตอนกฎหมาย 180 วัน หลังจากนั้น ส.ส.พวกผมจะยื่นญัตติเข้ามาใหม่ พอยื่นญัตติมาใหม่มีคนรับรอง 20 คน ก็ดำเนินการใหม่ได้ ก็ไม่เห็นเป็นไร เดี๋ยวก็ได้ประกาศใช้อย่างงี้ดีกว่าง่ายกว่าด้วย ให้มันกลับบ้านไปก่อน ถ้ามันมาใหม่ ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับวุฒิสภา ส.ส.ล้วนๆ เราเป็นเสียงข้างมากยังไงก็ชนะ ข้อบังคับกฎหมายเป็นอย่างนี้ ดังนั้นยังไม่สิ้นหวัง ถ้าสิ้นหวังจริงๆมันก็ยังมีทางไปเพราะรัฐบาลสามารถออกพระราชกำหนดได้ ผ่านมติคณะรัฐมนตรีก็ประกาศใช้ได้ มันเป็นอำนาจของเสียงส่วนใหญ่ " จ.ส.ต.ประสิทธิ์กล่าวในการปราศรัยเรื่องร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม บนเวทีภาคีหลังประชาชน (ภปช.)
เมื่อเจอกับคลื่นมหาชนเรือนแสนตบเท้าออกมาต่อต้านอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในที่สุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องตัดสินใจถอน 'ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย' พร้อมทั้ง ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ทั้งหมด 6 ฉบับ ออกจากการพิจารณาของสภา เนื่องจากเห็นว่าไม่สามารถต้านทานมวลชนสารพัดกลุ่มที่แห่แหนมารวมกันดุจแม่น้ำร้อยสายได้ งานนี้แม้วิป รัฐบาลจะออกมาแถลงว่าถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากสภาแล้ว แต่มวลชนก็ไม่สนใจ ยังคงเดินหน้าออกมาร่วมคัดค้านกันอย่างต่อเนื่องส่งผลให้อุณหภูมิทางการเมือทวีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น กระทั่งนายกฯยิ่งลักษณ์ต้องบากหน้าออกมาตั้งโพเดียมแถลงยืนยันด้วยตัวเองว่าจะถอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกจากสภาโดยไม่มีข้อบิดพลิ้ว แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะช้าไปเสียแล้วเพราะนาทีนี้เป้าหมายของมวลชนนั้นข้ามผ่านเรื่องการคัดค้านการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไปสู่การ 'ขับไล่รัฐบาล' แบบสุดซอยเสียแล้ว
“ รัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง เราเคารพในเจตนารมณ์ของประชาชน เคารพในเสียงของประชาชนยืนยันว่าจะไม่นำ พ.ร.บ.นี้กลับมาพิจารณาโดยเด็ดขาด ในสถานการณ์การเมืองที่มีความวุ่นวายมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติ ในหลายประเทศก็เริ่มมีการเตือน ซึ่งเราก็เป็นห่วงว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้ชาวต่างชาติที่คิดจะลงทุนในประเทศไทย ประเทศไทยเราจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนนั้นก็ไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง การสร้างความเชื่อมั่นแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาก็อาจจะไม่กล้ามา สุดท้ายก็มากระทบต่อผู้ประกอบการ กระทบต่อนักธุรกิจ เหตุการณ์ต่างๆ เราสามารถแก้ไขด้วยการพูดคุยกัน ด้วยการยื่นข้อเสนอต่างๆ รัฐบาลก็พร้อมรับ ไม่อยากเห็นการชุมนุมนี้ยืดเยื้อ ขอความกรุณา เราอยากเห็นความสงบนี้เกิดขึ้น ยืนยันอีกครั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยกเลิกแล้ว รัฐบาลจะไม่ฝืนความรู้สึกของประชาชน รัฐบาลไม่ใช้ความรุนแรง และรัฐบาลจะไม่ทำอะไรให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทโดยเด็ดขาด” นายกฯยิ่งลักษณ์แถลงที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา
งานนี้ต้องบอกว่า 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น ผู้หวังจะล้างความผิดด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตนเองนั้นประเมิน 'หัวใจคนไทย' ต่ำเกินไป เพราะเขามั่นใจว่าขณะนี้รัฐบาลเพื่อไทยสามารถควบรวมอำนาจทุกภาคส่วนไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติซึ่งเพื่อไทยครองเสียงข้างมากอยู่ตอนนี้ กระบวนการยุติธรรมส่วนใหญ่ก็ถูกครอบงำไว้หมด แม้แต่กองทัพซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเคยมีบทบาทคานอำนาจรัฐบาล วันนี้ก็กลายเป็นหน่วยงานที่ 'ทักษิณไว้ใจมาก' ดังนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนหาญกล้าออกมาคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิด ทักษิณมั่นใจถึงขั้นประกาศกร้าวว่าจะ ' Set Zero' ยกเลิกความผิดทั้งหมดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกทั้ง นช.ทักษิณยังประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ด้วยการเผยแพร่ภาพขณะเดินทางไปร่วมงานทอดกฐินที่วัดไทยในประเทศนอร์เวย์ เพื่อโชว์ว่างานนี้มวลชนเสื้อแดงในต่างประเทศมาไปให้การต้อนรับกันอย่างคับคั่ง ที่สำคัญยังมีข้าราชการแต่งเครื่องแบบขาวเต็มยศเดินกางร่มตามหลังอยู่ตลอดเวลาทั้งที่อยู่ภายในอาคารอย่างกับตนเองเป็นเจ้านายชั้นสูง
ขณะเดียวกัน 'นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น' ก็ส่งทนายหน้าหอ อย่าง 'นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย ออกมาให้สัมภาษณ์สร้างความชอบธรรม โดยแถไถข้างๆคูๆว่าคดีของ นช.ทักษิณนั้นเป็นคดีทางการเมือง ไม่ใช่คดีทุจริต เพราะไม่เช่นนั้นทักษิณคงไม่สามารถเดินทางไปในประเทศมหาอำนาจได้ ?
แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งมัดคอตัวเอง เพราะน่าแปลกที่นายนพดลกลับไม่ได้โต้แย้งกรณีที่ นช.ทักษิณ ถูกตัดสินยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านว่าเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรม อีกทั้งไม่คิดจะทวงเงินที่ถูกยึดคืน ทั้งๆที่เพิ่งบอกว่าทักษิณไม่ได้ทุจริตคอร์รัปชั่น แต่กลับยืนยันว่าผลของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย นี้ไม่สามารถนำไปสู่การคืนเงิน 4.6หมื่นล้านที่ นช.ทักษิณถูกยึดไปอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์บิดเบือนได้ เพราะกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายการเงิน ? แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อนิรโทษมวลชนที่ถูกจำคุกจากการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง และเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับเหยื่อรัฐประหารปี 49
“กฎหมายนิรโทษฯ ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อล้างผิดคนโกง แต่ทำขึ้นเพื่อล้างผลของการรัฐประหาร ” นายนพดลกล่าว
แปลกันง่ายๆก็คือ กฎหมายนี้ไม่ได้ร่างขึ้นเพื่อล้างผิดคนโกง จึงไม่สามารถคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านให้ นช.ทักษิณได้ ? แต่ไฉนกลับอ้างว่า นช.ทักษิณ ไม่ได้มีความผิดในคดีคอร์รัปชั่น ?
อย่างไรก็ดี เมื่อเริ่มเจอกระแสต้านจากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่เป็นฐานเสียงและเคยรักทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู 'นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' น้องสาวสุดที่รักของ นช.ทักษิณ ที่รับออร์เดอร์จากพี่ชายมาออกกฎหมายฟอกผิดก็จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นารีพิฆาต 'บีบน้ำตา' ร้องหาความเห็นใจจากบรรดาญาติของเหยื่อเสื้อแดงที่บาดเจ็บล้มตายจากการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งเข้าพบนายกฯเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา เรียกว่านับเป็น 'ดราม่าขั้นเทพ' เลยทีเดียว
ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน 'นายากฯนกแก้ว' ก็ออกมาขอร้องให้ผู้ที่ชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีเมตาตาธรรม ? นอกจากนั้นเธอยังเอ๋อไม่เลิกโดยอ้างว่าคนออกมาค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะมีการบิดเบือนข้อมูลว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นกฎหมายการเงิน ?
“ เราควรจะหันมามองในหลักที่ให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ และมองในหลักของความเมตตาธรรม การเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน และใช้เวทีตามระบอบประชาธิปไตยในการพูดคุยกัน และแสดงออกในความคิดเห็นร่วมกัน เราคงไม่อยากจะเห็นเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ เกิดขึ้นกับประเทศไทยอีกแล้ว เราไม่อยากเห็นการสูญเสียต่างๆ เกิดขึ้นอีก อยากเห็นความเมตตา ความเข้าอกเข้าใจกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน ร่างนิรโทษกรรมดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ มีความเห็นขัดแย้งอย่างหนักของคนในชาติ แต่เมื่อสภาฯ ผ่านแล้ว ก็พบว่ามีคนไทยที่ยังไม่พร้อมจะให้อภัย ทั้งจะมีท่าทีก่อเกิดความขัดแย้ง ดิฉันไม่อยากเห็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมถูกใช้เป็นการเมืองเพื่อล้มล้างรัฐบาล ถูกบิดเบือนว่าเป็นกฎหมายการเงิน ซึ่งถ้าเป็นร่างการเงินดิฉันต้องลงนาม และไม่ใช่กฎหมายล้างผิดคนทุจริต ” นายกฯยิ่งลักษณ์ กล่าวเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2556
นอกจากนั้น นายกฯยิ่งลักษณ์ ยังใช้กลยุทธเดิมๆ นั่นคือการเกณฑ์ชาวบ้านและข้าราชการมาเชลียร์ให้กำลังใจเพื่อสร้างภาพออกสื่อว่าประชาชนเห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมและสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ อาทิ กลุ่มเครือข่ายคนโคราชรักสันติ ซึ่งประกอบด้วย ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ อ.เมืองนครราชสีมา ที่นำโดย นายศักดิ์ชัย ชาติพุดซา นายกสมาคมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านอำเภอเมืองนครราชสีมา ซึ่งได้เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกให้ นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และเป็นกำลังใจให้รัฐบาล
แต่เนื่องจากกลุ่มที่ออกมาสร้างภาพสนับสนุนมีอยู่น้อยมาก ไม่ทันใจ ไม่ทันสถานการณ์ รัฐบาลจึงต้องจัดทำแผ่นป้ายให้กำลังใจ สนับสนุนตัวเองในการกฎหมายนิรโทษกรรม พร้อมทั้งโจมตีผู้ชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นำไปติดไว้ตามถนนและย่านชุมชนต่างๆ เช่น บริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี มีแผ่นป้ายขึ้นข้อความว่า “ประเทศไทยบอบช้ำมามากพอแล้ว ควรเริ่มต้นกันใหม่ Set Zero” , “ถ้าไม่ปรองดองแล้วเมื่อไหร่! จะรู้รักสามัคคี” หรือที่จังหวัดเชียงใหม่ก็มีไอ้โม่งนำแผ่นป้ายที่มีข้อความว่า “หยุดความขัดแย้ง ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับใช้ชาติ” ไปติดไว้ในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นที่บริเวณสามแยกถนนเชียงใหม่-แม่โจ้ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก ถนนเชียงใหม่-ลำปาง หรือบริเวณสี่แยกสนามบิน ถนนเชียงใหม่-หางดง
ขณะเดียวกันก็สั่งการไปยังหน่วยราชการต่างๆให้ออกประกาศห้ามข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการออกกฎหมายล้างผิด ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งงานนี้ 'นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล' รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ออกโรงข่มขู่ห้ามปรามข้าราชการที่แต่งทำเพื่อคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้วยตัวเองเลยทีเดียว
“ กรณีข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากว่ากันตามระเบียบราชการไม่สามารถทำได้ ข้าราชการต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หากเกี่ยวกับการเมืองเมื่อไรจะเจ๊ง ยกเว้นเป็นเวลานอกราชการสามารถทำได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องรักษาระบบไว้ แต่ต่อให้เป็นนอกเวลาราชการ แต่หากมาประท้วงในกระทรวงก็ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ว่ารัฐบาลไหน ข้าราชการเข้าข้างคนนั้นคนนี้ไม่ได้ ข้าราชการคือคนของรัฐ ของประเทศ และของในหลวง” รมว.พาณิชย์ กล่าว
ส่วนทางด้านผู้บริหารการบินไทยก็ได้ส่งหนังสือเวียนประกาศห้ามพนักงานใช้พื้นที่หรือทรัพย์สินของบริษัทฯ จัดกิจกรรม หรือใช้แสดงความเห็นทางการเมือง โดยการออกประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทยได้ออกแถลงการณ์ถึงสมาชิกและพนักงานบริษัทฯ ถึงจุดยืนในการคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยเชิญชวนให้พนักงานบริษัทร่วมแสดงพลังคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม “ขจัดความกลัว ต่อต้านความชั่ว รวมตัวแสดงพลังคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม...คนโกง” บริเวณหน้าเสาธง ริมสระน้ำ บริษัท สำนักงานใหญ่ ในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
งานนี้ไม่เฉพาะลิ่วล้อเท่านั้นที่ออกมาช่วยกันสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 'พาทักษิณกลับบ้าน' ลูกชายหัวแก้วหัวขวดที่กตัญญูยิ่งกว่า 'วันเฉลิม' แห่งทองเนื้อเก้า อย่าง 'ลูกโอ๊ค' พานทองแท้ ชินวัตร ก็ออกแรงช่วยพ่ออีกทางหนึ่ง โดยลูกโอ๊คได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อ้อนวอนสมาชิกวุฒิสภาว่าหากสุดซอยไม่ได้ ขอแค่กลางซอยก็ยังดี
“ คุณพ่อผมอยู่ไกล 'ไม่อยู่หน้างานมองสถานการณ์ไม่ออกครับ' เมื่อบวกกับความคิดถึงครอบครัว คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ใครมาแนะนำอย่างไร ท่านย่อมเกิดความหวัง หวังที่หนึ่งคือต้องการให้ส่วนรวมเกิดความสมานฉันท์ เมื่อมีความสมานฉันท์แล้ว หวังที่ 2 ก็คือ หากได้กลับบ้านด้วยก็ยินดีครับ เมื่อไปไม่ถึง 2 ขอแค่หนึ่ง สุดซอยไปไม่ได้ ครึ่งซอยไปไม่ถึง ขอแค่ต้นซอยก็ยังดีครับ ตัวบุคคลเอาไว้ก่อน แต่พี่น้องประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย แต่กลับต้องโทษนั้น ขอไว้เถอะครับ อย่าไปเอาผิดเขาเลย กระบวนการต่อไปอยู่ที่การตัดสินใจของวุฒิสภาครับ จะคว่ำกันไปเลย กว่าจะกลับมาพิจารณากันใหม่ ก็ต้องรอไปอีก180 วัน ผมว่ามันนานเกินไปครับ หากวุฒิสมาชิกจะมีเมตตา ต่อพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน จะเหลือง จะแดงยังไง อยากให้อภัยกันไว้ก่อน เมื่อความสมานฉันท์เกิดขึ้น ความเป็นสยามเมืองยิ้มกลับมาอีกครั้ง ประเทศชาติก็จะเดินหน้าต่อไปได้ครับ ประเทศไทยของเรา จะ'เดินหน้า' หรือจะ 'เผชิญหน้า'อยู่ที่การตัดสินใจของวุฒิสมาชิกทุกท่านครับ ” ส่วนหนึ่งของข้อความที่นายพานทองแท้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ทางด้านวุฒิสภา ซึ่งเป็นความหวังเดียวของลูกโอ๊คก็คงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าเดินไปตามกระแส และรีบดำเนินการเพื่อลดอุณหภูมิทางการเมืองให้เร็วที่สุดก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา 'นายนิคม ไวยรัชพานิช' ประธานวุฒิสภา ได้เรียกประชุม ส.ว.นอกรอบ เพื่อแจ้งว่าจะใช้อำนาจประธาน ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา 15 วรรค 2 นัดประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 8 พ.ย.2556 เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จากเดิมที่นัดหมายว่าจะมีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าว ในวันจันทร์ที่ 11 พ.ย.2556 ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าการเรียกประชุมด่วนครั้งนี้เป็นเพราะ ส.ว.สายเพื่อไทย ต้องการรีบแถลงคว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อ 'ถอดชนวนระเบิด' ให้รัฐบาล เพราะเมื่อวุฒิสภาประกาศคว่ำร่าง รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะได้ใช้เหตุผลนี้ขอร้องให้มวลมหาประชาชนที่แห่แหนกันออกมาชุมนุมรุมสกรัมรัฐบาลอยู่ในขณะนี้แยกย้ายสลายตัวกลับไปบ้านใครบ้านมัน โดยให้เหตุผลสุดคลาสสิคว่าขณะนี้รัฐบาลถอยแล้ว ไม่มีการพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอยแล้ว ก็ขอให้ประชาชนเลิกชุมนุมเพื่อเห็นแก่ความสงบของบ้านเมือง
แต่ขอบอกว่า ณ เวลานี้ แม้ว่าเพื่อไทยจะจำใจถอยโดยมีมติถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกจากสภา แต่ก็อาจจะช้าไปเสียแล้ว เพราะขณะนี้มวลชนนั้นมองข้ามเรื่องนิรโทษกรรมไปไกลถึงขั้นขับไล่รัฐบาลเพื่อไทยให้พ้นจากอำนาจ ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายย่อมนำไปสู่แรงกดดันที่ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจ 'ยุบสภา' ดังนั้นไม่ว่าจะมีการพิจาณา พ.ร.บ.ฉบับนี้หรือไม่ มวลชนก็ยังคงเดินเพื่อไปสู่เป้าหมาย 'ไล่รัฐบาล ล้างระบอบทักษิณ และปฏิรูปประเทศไทย' เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถขจัดปัญหา 'คอร์รัปชั่น' และ 'เผด็จการรัฐสภา' ให้หมดไปจากประเทศไทยอย่างถาวรได้
แต่ถามว่า ยุบสภาแล้ว สมการการเมืองของไทยจะเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่
คำตอบก็อยู่ที่พลังของประชาชนเช่นกันว่า ต้องการแบบไหน
ใครจะเป็นตัวเลือกของประชาชน
พรรคประชาธิปัตย์จะสามารถรัฐประหารตัวเองเพื่อฟื้นศรัทธาและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้หรือไม่ ถ้ายังมีพฤติกรรมแบบเดิมๆ ประเทศไทยก็หมดหวัง แต่ถ้าโผล่พ้นจากโคลนตม ก็ไม่แน่นักว่า งานนี้จำนวน ส.ส.อาจถึงขั้นชิงดำ แถมถ้าบรรดาพรรคจอมเสียบเปลี่ยนใจ แต้มต่อในการจัดตั้งรัฐบาลอาจเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้
ขณะที่ทางด้านพรรคเพื่อไทย คงต้องถามชายชื่อ 'นช.ทักษิณ' ว่าจะยังคงฟินกับการเดินควงแขนนักร้องสาว 'สั้นเสมอหู' ตกอยู่ในภวังค์หวาม เพราะเชื่อมั่นว่า เงินจะสามารถซื้อคนไทยได้ หรือจะแก้เกมครั้งนี้อย่างไร เพราะผลพวงของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอยนี้ได้ทำให้ “คนเสื้อแดง” จำนวนไม่น้อยรับไม่ได้เช่นกัน