บางจากจ่อขยายลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ไปอาเซียน หลังจากที่รัฐบาลหันไปส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อปแทน คาดปีนี้มีEBITDA จากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์1.3พันล้านบาท ส่วนแผนตั้งโรงกลั่นใหม่และปลูกปาล์มเพื่อผลิตไบโอดีเซลที่รังสิตส่อพับ เหตุติดปัญหาที่ดิน
นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังเปิดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ กำลังผลิต 16 เมกะวัตต์ อย่างเป็นทางการว่า ในสิ้นปีนี้บริษัทจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี(EBITDA)จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2เฟส กำลังผลิตรวม 70เมกะวัตต์ เป็นเงิน 1,300ล้านบาท
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เฟส 3 อีก48 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี 16 เมกะวัตต์ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา 8 เมกะวัตต์ อำเภอหนองกี่ จังหวัดนครราชสีมา 8 เมกะวัตต์ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 8 เมกะวัตต์ และอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ 8 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จพร้อมจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ประมาณไตรมาส 2 ของปีหน้า รวมโครงการทั้ง 3 เฟสมีกำลังการผลิตจำหน่ายทั้งสิ้น 118 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท มีEBITDA เพิ่มขึ้นรวมเป็น 2,800 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้บริษัทยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอาเซียน เช่นพม่า เนื่องจากยังมีความต้องการใช้ไฟอยู่มาก ขณะที่โครงการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไทยเพิ่มเติมนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐ ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนหลังคา(โซลาร์รูฟท็อป)แทนโซลาร์ฟาร์ม
พบว่ามีผลตอบแทนต่ำแค่8% ซึ่งต่ำมาก ดังนั้นบริษัทตัดสินใจลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปผลิตไฟฟ้าจากหลังคาสถานีบริการน้ำมัน เพียง11 แห่งจากที่ได้รับเลือก26แห่ง เนื่องจากใช้เงินลงทุนสูงและสัญญาเช่าที่ดินไม่ได้ยาวนานเหมือนกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี
นอกจากนี้บริษัทศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากหญ้าเนเปีย และโครงการผลิตไฟจากกังหันลมขนาดเล็กแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐและความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังเปิดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ กำลังผลิต 16 เมกะวัตต์ อย่างเป็นทางการว่า ในสิ้นปีนี้บริษัทจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี(EBITDA)จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2เฟส กำลังผลิตรวม 70เมกะวัตต์ เป็นเงิน 1,300ล้านบาท
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เฟส 3 อีก48 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี 16 เมกะวัตต์ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา 8 เมกะวัตต์ อำเภอหนองกี่ จังหวัดนครราชสีมา 8 เมกะวัตต์ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 8 เมกะวัตต์ และอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ 8 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จพร้อมจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ประมาณไตรมาส 2 ของปีหน้า รวมโครงการทั้ง 3 เฟสมีกำลังการผลิตจำหน่ายทั้งสิ้น 118 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท มีEBITDA เพิ่มขึ้นรวมเป็น 2,800 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้บริษัทยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอาเซียน เช่นพม่า เนื่องจากยังมีความต้องการใช้ไฟอยู่มาก ขณะที่โครงการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไทยเพิ่มเติมนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐ ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนหลังคา(โซลาร์รูฟท็อป)แทนโซลาร์ฟาร์ม
พบว่ามีผลตอบแทนต่ำแค่8% ซึ่งต่ำมาก ดังนั้นบริษัทตัดสินใจลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปผลิตไฟฟ้าจากหลังคาสถานีบริการน้ำมัน เพียง11 แห่งจากที่ได้รับเลือก26แห่ง เนื่องจากใช้เงินลงทุนสูงและสัญญาเช่าที่ดินไม่ได้ยาวนานเหมือนกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี
นอกจากนี้บริษัทศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากหญ้าเนเปีย และโครงการผลิตไฟจากกังหันลมขนาดเล็กแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐและความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
