เอเจนซีส์ – มือปืนหนุ่มอเมริกันที่ก่อเหตุกราดยิงในท่าอากาศยานนานาชาติเมืองลอสแองเจลีส ถูกอัยการสหรัฐฯตั้งข้อหาเจตนาฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐและก่อความรุนแรงในสนามบินนานาชาติ ซึ่งมีโทษสูงสุดประหารชีวิต โดยที่มีรายงานระบุว่า ขณะถูกจับกุมภายหลังถูกยิงบาดเจ็บสาหัสนั้น เขาพกกระดาษเขียนข้อความว่า ต้องการสังหารเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสนามบิน “หลายคน” เนื่องจากเจ้าหน้าที่พวกนี้ทำให้เขาโกรธแค้นอาฆาต
อังเดร บิรอตติ อัยการสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันเสาร์ (2) ว่า พอล เซียนเซีย ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ตกงานวัย 23 ปี ดึงเอา “ปืนไรเฟิลสังหาร เอ็ม แอนด์ พี-15 ขนาด .223 แคลิเบอร์” ออกจากกระเป๋าที่เขาถือมา และจ่อยิงแบบเผาขนจำนวนหลายนัดเข้าใส่ เจอราร์โด เฮอร์นันเดซ เจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยในการขนส่ง (ทีเอสเอ) วัย 39 ปี ซึ่งกำลังตรวจบัตรประชาชนและบัตรผ่านของผู้โดยสารที่หน้าบันไดเลื่อนชั้นล่างของอาคารผู้โดยสารหมายเลข 3 ของท่าอากาศยานนานาชาติลอสแองเจลีส (แล็กซ์) เมื่อเวลาราว 9.00 น. วันศุกร์(1 พ.ย.) ที่ผ่านมา
บิรอตติเสริมว่า เฟอร์นันเดซที่ไม่ได้พกอาวุธเพียงแค่บาดเจ็บ และเมื่อมือปืนที่สวมชุดดำและเสื้อกันกระสุนเห็นดังนั้น จึงลงบันไดเลื่อนกลับลงมายิงซ้ำ ก่อนเดินลึกเข้าไปในอาคารผู้โดยสารและยิงเหยื่ออีก 4 คน ที่รวมถึงเจ้าหน้าที่ทีเอสเอ 2 คน ก่อนยิงต่อสู้กับตำรวจสนามบินและถูกรวบตัวในที่สุด
ในกระเป๋าของมือปืนรายนี้ที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจากบาดแผลถูกยิง 4 นัดที่ปากและขา มีโน้ตเขียนข้อความว่า เป้าหมายของเขาเน้นที่เจ้าหน้าที่ทีเอสเอ เพราะเขาโกรธแค้นและอาฆาตพยาบาทหน่วยงานดังกล่าว
เดวิด โบว์ดิช หัวหน้าสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) สาขาแอลเอ ระบุว่า โน้ตที่เขียนด้วยลายมือและมีลายเซ็นกำกับบ่งชี้ว่า เซียนเซียตัดสินใจอย่างมีสติที่จะสังหารเจ้าหน้าที่ทีเอสเอจำนวนมาก โน้ตยังระบุว่า เขาต้องการให้ “ความกลัวฝังอยู่ในจิตใจอันทรยศของเจ้าหน้าที่ทีเอสเอ"
หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลีส ไทมส์รายงานว่า โน้ตดังกล่าวระบุว่า เจ้าตัวไม่ต้องการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งผู้เห็นเหตุการณ์หลายรายเล่าว่า ในระหว่างการกราดยิงซึ่งกินเวลาไม่ถึง 10 นาทีนั้น เซียนเซียได้เดินเข้าไปหากลุ่มคนที่หมอบอยู่ และชี้ปืนไปที่คนเหล่านั้นพร้อมกับถามว่า เป็นเจ้าหน้าที่ทีเอสเอหรือไม่ หากตอบว่าไม่ เขาจะเดินหาเป้าหมายต่อไปพร้อมกับก่นด่าทีเอสเอ
เจ้าหน้าที่ที่ไม่ประสงค์ออกนามผู้หนึ่งระบุว่า โน้ตของเซียนเซียยังพาดพิงถึง “NWO” ซึ่งหมายถึงทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดที่คาดคะเนว่า ในอนาคตโลกจะปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการเพียงชุดเดียว
ทางด้าน อิริก การ์เซตติ นายกเทศมนตรีแอลเอเผยว่า เซียนเซียมีกระสุนในกระเป๋าถึง 150 นัด
จากข้อหาสังหารเจ้าหน้าที่รัฐและก่อความรุนแรงในสนามบินนานาชาติเช่นนี้ หมายความว่าผู้ต้องหาผู้นี้อาจถูกลงโทษสูงสุดได้ถึงขั้นประหารชีวิต
มีรายงานว่าเอฟบีไอทำการตรวจสอบภูมิหลังและพบว่า เซียนเซียเป็นชาวนิวเจอร์ซีย์ที่ย้ายมาอยู่แอลเอ แต่ไม่พบประวัติการก่อคดีหรือการสมัครงานกับทีเอสเอแต่อย่างใด
ขณะที่หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า ก่อนเกิดเหตุ เขาส่งข้อความถึงน้องชายว่า อาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย จากนั้นพ่อของเขาจึงติดต่อตำรวจในนิวเจอร์ซีย์ซึ่งประสานงานกับตำรวจแอลเออีกทอด
แต่เมื่อตำรวจแอลเอไปที่บ้านของเซียนเซีย เจ้าตัวได้เข้าไปในสนามบินเรียบร้อยแล้ว
แอนนา เฟอร์นันเดซ ภรรยาม่ายของเฟอร์นันเดซ ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ทีเอสเอคนแรกที่ถูกสังหารนับจากหน่วยงานแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นภายหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 บอกว่า เธอรู้สึกหัวใจสลายกับการตายของสามี และบอกว่า เฟอร์นันเดซ ที่อพยพจากเอลซัลวาดอร์มาอยู่อเมริกาตั้งแต่อายุ 15 ปีนั้น เป็นคนร่าเริง ยิ้มแย้มตลอดเวลา และภูมิใจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อสังคมอเมริกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้ท่าอากาศยานแล็กซ์ต้องปิดให้บริการกว่า 24 ชั่วโมง กระทบเที่ยวบินราว 1,550 เที่ยว และผู้โดยสาร 16,700 คน
อังเดร บิรอตติ อัยการสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันเสาร์ (2) ว่า พอล เซียนเซีย ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ตกงานวัย 23 ปี ดึงเอา “ปืนไรเฟิลสังหาร เอ็ม แอนด์ พี-15 ขนาด .223 แคลิเบอร์” ออกจากกระเป๋าที่เขาถือมา และจ่อยิงแบบเผาขนจำนวนหลายนัดเข้าใส่ เจอราร์โด เฮอร์นันเดซ เจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยในการขนส่ง (ทีเอสเอ) วัย 39 ปี ซึ่งกำลังตรวจบัตรประชาชนและบัตรผ่านของผู้โดยสารที่หน้าบันไดเลื่อนชั้นล่างของอาคารผู้โดยสารหมายเลข 3 ของท่าอากาศยานนานาชาติลอสแองเจลีส (แล็กซ์) เมื่อเวลาราว 9.00 น. วันศุกร์(1 พ.ย.) ที่ผ่านมา
บิรอตติเสริมว่า เฟอร์นันเดซที่ไม่ได้พกอาวุธเพียงแค่บาดเจ็บ และเมื่อมือปืนที่สวมชุดดำและเสื้อกันกระสุนเห็นดังนั้น จึงลงบันไดเลื่อนกลับลงมายิงซ้ำ ก่อนเดินลึกเข้าไปในอาคารผู้โดยสารและยิงเหยื่ออีก 4 คน ที่รวมถึงเจ้าหน้าที่ทีเอสเอ 2 คน ก่อนยิงต่อสู้กับตำรวจสนามบินและถูกรวบตัวในที่สุด
ในกระเป๋าของมือปืนรายนี้ที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจากบาดแผลถูกยิง 4 นัดที่ปากและขา มีโน้ตเขียนข้อความว่า เป้าหมายของเขาเน้นที่เจ้าหน้าที่ทีเอสเอ เพราะเขาโกรธแค้นและอาฆาตพยาบาทหน่วยงานดังกล่าว
เดวิด โบว์ดิช หัวหน้าสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) สาขาแอลเอ ระบุว่า โน้ตที่เขียนด้วยลายมือและมีลายเซ็นกำกับบ่งชี้ว่า เซียนเซียตัดสินใจอย่างมีสติที่จะสังหารเจ้าหน้าที่ทีเอสเอจำนวนมาก โน้ตยังระบุว่า เขาต้องการให้ “ความกลัวฝังอยู่ในจิตใจอันทรยศของเจ้าหน้าที่ทีเอสเอ"
หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลีส ไทมส์รายงานว่า โน้ตดังกล่าวระบุว่า เจ้าตัวไม่ต้องการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งผู้เห็นเหตุการณ์หลายรายเล่าว่า ในระหว่างการกราดยิงซึ่งกินเวลาไม่ถึง 10 นาทีนั้น เซียนเซียได้เดินเข้าไปหากลุ่มคนที่หมอบอยู่ และชี้ปืนไปที่คนเหล่านั้นพร้อมกับถามว่า เป็นเจ้าหน้าที่ทีเอสเอหรือไม่ หากตอบว่าไม่ เขาจะเดินหาเป้าหมายต่อไปพร้อมกับก่นด่าทีเอสเอ
เจ้าหน้าที่ที่ไม่ประสงค์ออกนามผู้หนึ่งระบุว่า โน้ตของเซียนเซียยังพาดพิงถึง “NWO” ซึ่งหมายถึงทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดที่คาดคะเนว่า ในอนาคตโลกจะปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการเพียงชุดเดียว
ทางด้าน อิริก การ์เซตติ นายกเทศมนตรีแอลเอเผยว่า เซียนเซียมีกระสุนในกระเป๋าถึง 150 นัด
จากข้อหาสังหารเจ้าหน้าที่รัฐและก่อความรุนแรงในสนามบินนานาชาติเช่นนี้ หมายความว่าผู้ต้องหาผู้นี้อาจถูกลงโทษสูงสุดได้ถึงขั้นประหารชีวิต
มีรายงานว่าเอฟบีไอทำการตรวจสอบภูมิหลังและพบว่า เซียนเซียเป็นชาวนิวเจอร์ซีย์ที่ย้ายมาอยู่แอลเอ แต่ไม่พบประวัติการก่อคดีหรือการสมัครงานกับทีเอสเอแต่อย่างใด
ขณะที่หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า ก่อนเกิดเหตุ เขาส่งข้อความถึงน้องชายว่า อาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย จากนั้นพ่อของเขาจึงติดต่อตำรวจในนิวเจอร์ซีย์ซึ่งประสานงานกับตำรวจแอลเออีกทอด
แต่เมื่อตำรวจแอลเอไปที่บ้านของเซียนเซีย เจ้าตัวได้เข้าไปในสนามบินเรียบร้อยแล้ว
แอนนา เฟอร์นันเดซ ภรรยาม่ายของเฟอร์นันเดซ ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ทีเอสเอคนแรกที่ถูกสังหารนับจากหน่วยงานแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นภายหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 บอกว่า เธอรู้สึกหัวใจสลายกับการตายของสามี และบอกว่า เฟอร์นันเดซ ที่อพยพจากเอลซัลวาดอร์มาอยู่อเมริกาตั้งแต่อายุ 15 ปีนั้น เป็นคนร่าเริง ยิ้มแย้มตลอดเวลา และภูมิใจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อสังคมอเมริกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้ท่าอากาศยานแล็กซ์ต้องปิดให้บริการกว่า 24 ชั่วโมง กระทบเที่ยวบินราว 1,550 เที่ยว และผู้โดยสาร 16,700 คน
