xs
xsm
sm
md
lg

“ลิฟต์ฮิตาชิ” ทุ่ม 1,150 ล้าน เพิ่มกำลังผลิต รองรับ AEC

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ลิฟต์ฮิตาชิ” เปิดแผนลงทุนขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5,000 ตัวต่อปี พร้อมลุยส่งออกส่งออกลิฟต์รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก คาดใช้เงินลงทุนกว่า 1,150 ล้านบาท มั่นใจว่าจะขยายฐานลูกค้าที่มีเครือข่ายทั่วโลกให้เพิ่มขึ้น

นายธเนศ ยงรัตนมงคล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยาม ฮิตาชิเอลลิเวเตอร์ จำกัด ผู้ผลิต จำหน่าย ติดตั้ง และบริการบำรุงรักษาลิฟต์ บันไดเลื่อน และทางเลื่อน ภายใต้แบรนด์ “ฮิตาชิ” กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดโรงงานผลิตลิฟต์แห่งใหม่ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เฟส 9 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตลิฟต์รองรับการเติบโตของตลาด โดยแบ่งแผนการลงทุนเป็น 2 ระยะ คือ แผนระยะสั้น 3 ปี ซึ่งบริษัทฯ จะเพิ่มกำลังการผลิตลิฟต์จากเดิมที่ผลิต 1,200 ตัว เป็น 5,000 ตัวในปี 2558 เพื่อเป็นศูนย์การผลิตลิฟต์ “ฮิตาชิ” ส่งออกไปยังประเทศในแถบเอเชีย ยกเว้นประเทศจีน และญี่ปุ่น โดยแผนการขยายกำลังการผลิต จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,150 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำลังการผลิตสุงสุด 5,000 ตัว ในปี 2558

สำหรับ แผนลงทุนระยะกลางระยะ 7 ปี จะเป็นการลงทุน และขยายตลาดเพื่อรองรับการเปิดเสรีทางการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ Asian Economic Community (AEC) จะทำให้มีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 10,000 ตัว และมียอดรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ในปี2563 ส่วนในปี 2558 บริษัทฯ มีแผนการตลาดที่จะขยายสัดส่วนการตลาดภายในประเทศจาก 15% ในปี 5254 เป็น 25% ในปี 2558 รวมทั้งมีแผนการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว, พม่า, กัมพูชา และเวียดนาม โดยขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเรื่องของ Logistic ในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะทางถนน และทางรถไฟเพื่อลดต้นทุนในการขนส่งไปยังประเทศนั้นๆ รวมทั้งการขยายเปิดสาขาในประเทศดังกล่าว

“แผนการลงทุนทั้งหมดนี้ คือ เป้าหมายสำคัญในการกลับมาเป็นผู้นำทางด้านตลาดลิฟต์บันไดเลื่อน และทางเลื่อนอีกครั้ง โดยในอดีต “ฮิตาชิ” ถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจนี้มาโดยตลอด ซึ่ง “ฮิตาชิ” เป็นผู้นำเข้า และติดตั้งบันไดเลื่อนตัวแรกในประเทศไทยที่ห้างไทยไดมารู และยังเป็นผู้นำเข้า และติดตั้งลิฟต์กระจกตัวแรกในประเทศไทยที่ห้างโรบินสัน ราชดำริ รวมทั้งเป็นผู้นำเข้า และติดตั้งทางเลื่อนอัตโนมัติที่ยาวที่สุดในประเทศไทยกว่า 100 เมตร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ช่วงประมาณ 3-4 ปี อาจเป็นเพราะผลพวงเรื่องของภาวะการแข่งขันในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทฯ ตกลงมาอยู่อันดับ 2 ของตลาด ซึ่งจากนี้เป้าหมายของเรา คือ การกลับไปเป็นผู้นำตลาดอีกครั้ง จากแผนการลงทุนทั้งในระยะสั้น และระยะกลางที่วางไว้ ซึ่งก็คงใช้เวลา 2-3 ปี แต่เราก็มั่นใจว่าเราจะกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมของเราได้แน่นอน คือเป็น Market Leader เบอร์หนึ่งในธรุกิจนี้”

สำหรับ ผลประกอบการในปี 2555 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 2,350 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 1,400 ล้านบาท และส่งออกไปภูมิภาคเอเชีย 950 ล้านบาท และในปี 2013 ตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,300 บาท โดยมีอัตราเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2012 โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 1,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% และส่งออกไปภูมิภาคเอเชีย 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60%
กำลังโหลดความคิดเห็น