xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อาวุธมันแรง! “บิ๊กตู่”โว รบไม่กลัว กลัวหยุดไม่อยู่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลังถูกเหน็บแหนมติดลำโพงตลอดแนวชายแดนเพราะกลัวเขมรเข้าใจผิดหลังศาลโลกตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร 11 พ.ย.นี้ “บิ๊กตู่นะจ๊ะ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ขวัญใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมคนสวยที่สุดในโลก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีพี่ชายผู้ซึ่ง “ไว้ใจ ไว้ใจไอ้ตู่มาก” ก็ออกมาคำรามกลบเกลื่อนท่าทีอ่อนระทวยก่อนหน้า คุยโวว่าทหารไม่กลัวการรบ กลัวแต่จะหยุดไม่อยู่ เพราะสมัยนี้อาวุธมันรุนแรง

คำรามจนเสียงแหบแห้ง คุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ เดี๋ยวบู๊ เดี๋ยวหวาน ระรานตั้งแต่แม่ค้าผัดกระเพราจนถึงสื่อ นี่คือเอกลักษณ์ของเอกบุรุษนามว่า “บิ๊กตู่นะจ๊ะ” ดังนั้น จึงไม่แปลกเมื่อสื่อนำเสนอข่าวกองทัพติดลำโพงเพราะกลัวเขมรเข้าใจผิด “บิ๊กตู่” ก็ออกมาตามเก็บรายละเอียดทุกเม็ด ตอบกลับทันควันว่า

“ที่เราติดลำโพงตามแนวชายแดนก็มีบางสื่อบอกว่าเราไปกลัวเขา อันนี้เรียกว่าไม่เข้าใจ และทำลายพวกเดียวกันอีก

“สิ่งที่ผมต้องการคือ การสร้างความเข้าใจ เพราะบางครั้งเวลาเกิดเหตุติดต่อกันไม่ได้ ไม่ใช่ว่าติดลำโพงเพราะเรากลัวเขา อยากให้ทุกคนเข้าใจผม ขนาดคิดละเอียดอ่อนขนาดนี้ ยังมีคนโจมตีว่ากลัวกัมพูชา อยากบอกว่าไม่มีใครกลัวใคร สื่อเป็นส่วนหนึ่งทำให้บ้านเมืองไปได้ วันนี้ยังแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้สักเรื่อง เพียงก้าวแรกจะรบกันเสียแล้ว ทุกอย่างต้องเริ่มทีละขั้นจนพูดคุยกันไม่ได้แล้วถึงจะรบกัน คิดว่าทุกปัญหามีวิธีแก้ไข อยากให้คนไทยแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ทั้งการพูดคุย หรือกระบวนการกฎหมาย ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ก่อนแล้วรบกัน ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้ ล้มเหลวกันหมดแล้วเราจะไม่มีใครเขาคบ” ผบ.ทบ.ชี้แจงให้เข้าใจในเจตนา

เป็นจุดยืนที่ชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล ดังนั้นหากใครไปวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตที่ผิดไปจากนี้ “บิ๊กตู่” จะรีบออกมาปรามทันที ยิ่งหากเป็นทหารด้วยแล้ว ก็ต้องโดนคำสั่งปิดปากห้ามมีความเห็นใดๆ ดังที่ว่า

“.... คนไทยทั้งประเทศไม่ว่ากลุ่มไหนหรือสีไหนทุกคนรักชาติด้วยกันทั้งนั้น คงไม่มีใครไม่รักชาติ การไปวิเคราะห์วิจารณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์บริเวณนั้น จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และประชาชนจะสับสนจนส่งผลกระทบต่อการแก้ปัญหา โดยเฉพาะทหารที่อยู่ตามแนวชายแดน อยากให้สงบสติอารมณ์บ้าง และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องแก้ปัญหา”

ความจริงแล้วทหารที่อยู่ตามแนวชายแดน นอนกลางดินกินกลางทราย เสี่ยงตายก่อนใครอื่นทั้งหมด ต่างรู้สถานการณ์ดี และส่งเสียงบอกเตือนญาติพี่น้องตามหมู่บ้านชายแดนให้เตรียมพร้อมระวังภัย จะได้ไม่ต้องขวัญผวาหนีหัวซุกหัวซุนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว เพราะคนชายแดนเขารู้กันถ้วนทั่วว่าสันดานเขมรนั้นมันไว้ใจไม่ได้

การไปพูดจาภาษาดอกไม้ของ “อ้ายปึ้ง” นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศของไทย กับนายฮอร์ นัม ฮง รมว.ต่างประเทศของเขมร เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 56 ที่มีภาพสุดแสนจะชื่นมื่น จะเป็นแค่ละครฉากหนึ่งหรือไม่ อีกไม่นานก็คงได้รู้กัน เพราะถ้าย้อนเวลากลับไป ก็จะเห็นท่าทีกลับกลอกราวกับหมาจิ้งจอกของกัมพูชา ทั้งตอนที่จะเอาปราสาทพระวิหารไปขึ้นเป็นมรดกโลก ทั้งตอนที่มีการสู้รบตามแนวชายแดน หรือการเอาคดีขึ้นสู่ศาลโลก และระหว่างการต่อสู้คดีในศาลโลก คนที่ไม่หูหนวกตาบอด ก็ได้เห็นความร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมของเขมรเป็นอย่างดี

ถ้าเป็นมหามิตรเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันจริงอย่างที่นายสุรพงษ์กับนายฮอร์ นัม ฮง กล่าวอ้าง ก็คงไม่มีการยิงถล่มโรงเรียนภูมิซรอลวิทยาขณะที่มีนักเรียนแข่งกีฬาสีเต็มสนาม และยังยิงใส่บ้านเรือนของประชาชนจนมีคนบาดเจ็บล้มตาย ขวัญหนีดีฝ่ออพยพหนีตายกันจ้าละหวั่นอย่างที่เกิดขึ้น เขมรจะมาอ้างความขี้เท่อ ไม่เข้าท่าและหาเรื่องของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จนทำให้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นก็ใช่ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ สมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ก็จงใจเล่นการเมืองระหว่างประเทศ และน่าสงสัยว่าเป็นการกระทำตามคำขอของเพื่อนเลิฟ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สมเด็จฮุนเซน แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในเวลานั้น

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถึงเวลานี้ก็เชื่อๆ เขาหน่อยก็แล้วกันว่าผู้มีอำนาจสองชาติจูบปากรักกันดีอย่างยิ่งและจะไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันหลังศาลโลกตัดสินคดีไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะก็ตาม เพราะถ้าประชาชนไม่เชื่อฟัง ไม่อยู่ในโอวาท เดี๋ยว "อ้ายปึ้ง" กับ “บิ๊กตู่นะจ๊ะ” จะอารมณ์เสีย

สำหรับข้อตกลงที่ “อ้ายปึ้ง” ไปคุยกับนายฮอร์ นัม ฮง ก่อนศาลโลกจะตัดสินคดีนั้น คณะผู้เจรจาหารือก็ดราม่าพอสมควร เพราะยกคณะไปประชุมกันที่โรงแรมฮอลิเดย์ พาเลซ เมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เสร็จแล้วก็ข้ามฟากมาร่วมแถลงข่าวที่โรงแรมอรัญเมอร์เมด อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยนายสุรพงษ์ ย้ำว่า การหารือครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่จะรักษาความสัมพันธ์ ความร่วมมือที่กำลังเป็นไปด้วยดี เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ ซึ่งผลหารือทั้งสองฝ่ายมีความเห็น ดังนี้

1)ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลโลกจะออกมาเช่นไร ไทยกับกัมพูชาจะไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างกัน การดำเนินการใด ๆ จะต้องพูดคุยเจรจาหารือกัน และยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะรักษาความสงบตามแนวชายแดนและภายในของประเทศทั้งสอง และจะไม่ให้มีสิ่งใดมากระทบความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

2)เพื่อรักษาบรรยากาศความเป็นมิตรระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกำหนดมาตรการที่จะยึดถือปฏิบัติร่วมกัน ทั้งสำหรับช่วงก่อนและภายหลังการอ่านคำตัดสินของศาลฯ โดยเห็นพ้องกันว่าจะต้องมีมาตรการที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขตามแนวชายแดน ทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารในพื้นที่จะร่วมกันรักษาความสงบบริเวณชายแดนและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ และจะดูแลให้มีการติดต่อไปมาหาสู่กันตามปกติ ทั้งในส่วนของประชาชนและการขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศ

3)ทั้งสองฝ่ายจะนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างเหมาะสมและด้วยความระมัดระวัง ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะเคารพในสิทธิและการแสดงออกของกันและกัน การนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญ และเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้กระทรวงการต่างประเทศของแต่ละฝ่ายเป็นหน่วยงานหลักในการประสานข้อมูลและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในเรื่องของข้อมูลข่าวสาร

4)ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ และกระบวนการทางกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ และสนับสนุนให้มีการพบปะหารือเกี่ยวกับสาระสำคัญของคำตัดสินและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไปตามลำดับ ซึ่งในชั้นนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้ใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว เช่น การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (เจซี) ไทย-กัมพูชา หรือกลไกอื่นๆ

การทำข้อตกลงร่วมกันข้างต้น มองผิวเผินก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์สู้รบเกิดขึ้น แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอย่าลืมว่า กัมพูชานั้นประเมินว่า ด้วยความที่ตนเองมีประเทศมหาอำนาจหนุนหลัง จึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นฝ่ายชนะคดี ขณะที่ฝ่ายไทย หลายฝ่ายก็ประเมินว่ามีแต่เจ๊ากับเจ๊ง การไปทำข้อตกลงผูกมัดว่าไทยจะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกแต่โดยดี จะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกเสียจากว่างานนี้ ไทยตกหลุมพรางเขมรอย่างจัง

หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่าทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. นั้นแกล้งโง่ ยอมเล่นเกมไปกับกัมพูชา ทั้งที่มีเสียงเตือนว่า อย่าเพิ่งไปยอมรับว่าเราจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกโดยไม่มีเงื่อนไข สิ่งที่ต้องทำคือ ตั้งทีมศึกษาผลของคดีให้ถ่องแท้เสียก่อนค่อยกำหนดท่าทีในภายหลัง

การแกล้งโง่ของผู้นำฝ่ายไทย ทำให้ นายฮอร์ นัม ฮง มีสีหน้าท่าทีลิงโลดอย่างยิ่งที่สามารถทำให้ไทยสงบเงียบยอมรับทุกเงื่อนไขภายใต้คำกล่าวอ้างสวยหรูเพื่อสันติภาพและมิตรภาพ เรียกว่างานนี้เขมรชนะไทยทั้งในเกมการเมืองและการทหารและการต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศ

นายฮอร์ นัมฮง กล่าวในการแถลงข่าวร่วมว่า “....เห็นด้วยกับสิ่งที่นายสุรพงษ์กล่าวมาทั้งหมด และขอยืนยันว่าไม่ว่าคำตัดสินของศาลโลกจะตัดสินอย่างไร เราจะรักษาชายแดนของให้เป็นชายแดนแห่งสันติภาพและมิตรภาพ รวมทั้งเสริมความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น และยืนยันว่าเราจะปฏิบัติตามคำตัดสินขอศาลโลกโดยดี ....” และตีขลุมด้วยว่ากองทัพไทยจะยอมรับแต่โดยดีเช่นกัน “.....การประชุมนอกจากมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ยังมีผู้แทนของกองทัพและตำรวจมาร่วมประชุมเพื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ได้หารือร่วมกัน เราจึงเชื่อมั่นว่าฝ่ายไทยก็คิดเช่นเดียวกัน”

เห็นเล่ห์เหลี่ยมของกัมพูชาแล้ว ยังดันทะลึ่งพากันแกล้งโง่เดินเข้าสู่กับดัก น่าสังเวชผู้นำประเทศและผู้นำทหารของไทยเสียจริง !



กำลังโหลดความคิดเห็น