xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กรรมสนอง ฟ้อง “มาร์ค–เทือก” ฆ่าแดง บีบหนุนนิรโทษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หากไม่ใช่เพราะความโอหัง อวดดี คิดว่าตัวเองแน่ คุมเกมได้ และทำเท่ด้วยการอุ้มกลุ่มเผาบ้านเผาเมืองให้พ้นผิด ไม่คิดสืบสาวเอาเรื่องผู้ก่อการและผู้อยู่เบื้องหลังให้ถึงที่สุดตั้งแต่แรก ปลาใหญ่อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคฯ ก็คงไม่มาตายน้ำตื้น ถูกอัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นฟ้องข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาที่มีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต

หากไม่ใช่เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธ์ เอ้อระเหยลอยชาย แถมแสดงท่าทียับยั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่กำลังเดินหน้ารวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและสืบสาวไปถึงผู้สั่งการ นายธาริต ก็คงไม่เปลี่ยนสี ไปยืนอยู่กับอีกฝ่าย และเล่นแร่แปรสำนวนคดี กลายเป็นหอกดาบกลับมาทิ่มแทงนายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ ในเวลานี้เสียเอง

ที่สำคัญ หากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มุ่งมั่นทำลายมิตรอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันนี้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ก็จะยังคงมีกลุ่มพลังมวลชนที่แข็งแกร่งเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กคุ้มกันในการฟาดฟันกับพรรคเพื่อไทย ไม่ให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ผลักดันกฎหมายล้างผิด เอาเงินคืน “นช.ทักษิณ” และฟ้องคดีฆ่าคนตายกับสองผู้นำพรรคการเมืองเก่าแก่ อย่างที่เห็นและเป็นอยู่

ปลาใหญ่ตายน้ำตื้น จึงเป็นผลจากการกระทำและกรรมตามสนองโดยแท้

ในการดำเนินคดีสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 นั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินคดีของดีเอสไอกับ อสส. มาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีการสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในคดีก่อการร้าย ของอดีตอสส.ที่ชื่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ซึ่งเป็นการสั่งคดีทิ้งทวนก่อนเกษียณอายุราชการเพียงไม่กี่วัน

นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ โชว์ผลงานโบแดงให้เข้าตา “นายใหญ่ ณ ดูไบ” เพื่อความรุ่งเรืองของชีวิตหลังเกษียณที่อาจมีตำแหน่งใหญ่รออยู่อย่างนายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอสส.ที่พาทักษิณและพวกรอดคดีสินบนข้ามชาติซีทีเอ็กซ์ และได้บำเหน็จรางวัลขึ้นดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงยุติธรรม อยู่ในเวลานี้

อาจจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อสส.คนใหม่ ต้องรีบโชว์ผลงานไม่ให้น้อยหน้านายจุลสิงห์และนายชัยเกษม ด้วยการมีคำสั่งฟ้องร้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยเร่งเครื่องดำเนินการในช่วงที่พรรคเพื่อไทยกำลังผลักดันร่างกม.นิรโทษกรรม “ฉบับสุดซอย” ล้างผิดกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีกลายเป็นนักโทษเร่ร่อน และมีคดีข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่นติดตัวอยู่อีกพะเรอเกวียน ที่จะได้รับอานิสงส์เต็มๆ ไม่แค่พ้นมลทินแต่ยังจะได้เงินที่ถูกยึดทรัพย์คืนอีกด้วย

ร่างกม.ดังกล่าวจะดันให้ผ่านไปได้ ก็มีแต่ต้องลากเอานายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เข้ามาติดบ่วงคดีในระดับที่มีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต จึงจะสามารถทำให้พรรคฝ่ายค้านยอมหันมาสนับสนุนให้ร่างกม.นี้ผ่านสภา

วางเกมกันหลายชั้น และวันดีเดย์ก็มาถึง เมื่อโฆษก อสส.และรองโฆษก อสส. ออกมาแถลงถึงการสั่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 56 ที่ผ่านมา โดยคดีนี้ ดีเอสไอ ได้ส่งมอบสำนวนและเอกสารหลักฐานให้ อสส. มีคำสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผลกรณีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 มีการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ ว่าได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยแต่งตั้งนายสุเทพเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ซึ่ง อสส. มีความเห็น เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 56 ดังนี้

1.คดีนี้เป็นเรื่องการใช้หรือก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าหรือพยายามฆ่า ไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะดำเนินการไต่สวนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66

2.การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองมีพยานหลักฐานในการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของ ศอฉ.ดำเนินการปิดล้อมและสกัดกั้นการเข้าร่วมชุมนุม การเคลื่อนย้ายของกลุ่มผู้ชุมนุมและขอคืนพื้นที่ชุมนุม โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจากการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ ศอฉ.ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บริหารทั้งสอง ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากคำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสอง พยานหลักฐานจึงรับฟังได้ว่า เป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าตามข้อกล่าวหา

3.การออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ ศอฉ.ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหลายครั้งในเวลาต่างกัน โดยให้ปฏิบัติในพื้นที่ต่างกัน แม้ผลจากการกระทำตามคำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสองจะมีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บต่างเวลาและต่างสถานที่กันก็ตาม แต่ก็เป็นการออกคำสั่งที่ต่อเนื่องกันขณะมีการชุมนุม ทั้งนี้มีเจตนาเดียวกันเพื่อสลายการชุมนุม จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียว อสส.จึงมีคำสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 84, 90, 288

“หากผู้ต้องหาทั้งสองจะต่อสู้โดยนำประเด็นเรื่องการออกคำสั่งเกิดขึ้นระหว่างดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งหากจะมีการกล่าวหาว่ากระทำผิดจะต้องอยู่ภายใต้การไต่สวนของป.ป.ช. หรือถ้าหากจะมีการกล่าวอ้างถึงการปะทะกันของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มชายชุดดำ ก็เป็นสิทธิ์ที่จะโต้แย้งได้ แต่ในสำนวนที่ดีเอสไอส่งมา ไม่มีการกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงที่มีกลุ่มชายชุดดำอยู่ด้วยในครั้งนี้” นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ โฆษก อสส. กล่าว

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยังยืนยันว่า อัยการมีความมั่นใจในการสั่งคดี เพราะมีพยานหลักฐานในการลงนามคำสั่งตั้งศอฉ.และนายสุเทพเป็น ผอ.ศอฉ. รวมทั้งการออกประกาศให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธจริงในการปฏิบัติได้ ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการสลายการชุมนุมตามหลักสากล ต่างจากกรณีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ซึ่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ถูกกล่าวหาว่า ปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการให้เจ้าหน้าที่ดูแลควบคุมการชุมนุม แต่ในการสั่งดังกล่าวไม่ได้ระบุเป็นคำสั่งที่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธเหมือนประกาศของ ศอฉ. ส่วนที่ไม่ได้กล่าวหา ผบ.ตร. รวมทั้ง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่อื่นฐานร่วมกันกระทำผิด เพราะตามสำนวนไม่ได้พบว่าร่วมกันออกคำสั่ง ขณะที่เมื่อออกคำสั่งแล้วเจ้าหน้าที่ก็เป็นเพียงผู้ปฏิบัติการ ไม่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ย้ำว่า คำสั่งฟ้องคดีของนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ผู้ต้องหาไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้อีก ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ก็ไม่สามารถมีความเห็นแย้งได้เช่นกัน ส่วนกรณีที่ดีเอสไอจะแยกสำนวนฟ้องตามที่เห็นว่าเป็นความผิดหลายกรรมหลายวาระแยกเป็นคดีๆ ของผู้เสียชีวิตแต่ละราย สุดท้ายก็ต้องเอารวมกันเป็นคดีเดียวในชั้นศาล และสุดท้ายศาลก็จะพิพากษาครั้งเดียว ซึ่งโทษสูงสุดก็คือประหารชีวิตเหมือนกัน แต่ทางอัยการก็ไม่ตัดสิทธิของญาติผู้เสียชีวิตที่สามารถยื่นฟ้องเองได้ตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา

บรรดาอัยการและดีเอสไอ คงเห็นประชาชนกินแกลบและเป็นเด็กอมมือจึงกล่าวโกหกหลอกลวงตบท้ายว่า การดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ได้มีใบสั่งจากทางเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคแมลงสาบ เจอฟ้องข้อหาหนักถึงขั้นฆ่าคนตายโดยเจตนา นายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ ถึงกับเต้นเป็นเจ้าข้า ตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้ทันที โดยชี้ปมพิรุธในการสอบสวนคดีและสั่งฟ้องคดีของดีเอสไอและอสส. และจะฟ้อง อสส.กระทำการโดยไม่ชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ดังที่เคยฟ้องดีเอสไอไปก่อนหน้านี้แล้ว

นายอภิสิทธิ์ ได้โต้แย้งหักล้าง ดีเอสไอ และอสส.ในข้อเท็จจริง ว่าสำนวนคดีที่ไม่ได้ระบุว่ามีชายชุดดำเป็นการละเลยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่ดีเอสไอและอสส.ก็ทราบดีว่ามีชายชุดดำเพราะในคดีที่อสส.สั่งฟ้องในคดีก่อการร้าย คดีดำที่ อ.2542/53 มีการระบุถึงชายชุดดำไม่น้อยกว่า 20 หน้า

ในส่วนของข้อกฎหมายนั้น บรรดาการกระทำของตนเองและนายสุเทพที่ได้ออกคำสั่งนั้น สั่งการในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ และในความเห็นของดีเอสไอ ยังระบุว่าการกระดำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นตามข้อกฎหายจึงต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ไม่ใช่หน้าที่ของดีเอสไอ ที่จะเข้ามาสอบสวนคดีนี้

ด้านนายสุเทพ ตอบโต้ในทำนองเดียวกันว่าจากถ้อยแถลงของ อสส.มีพิรุธหลายอย่าง เช่น บอกว่าการทำของพวกตนไม่ได้กระทำในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เสมือนหนึ่งเป็นการวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งผิดกับมาตรฐานที่ อสส.ได้สั่งคดีอื่น เช่น กรณีสั่งไม่ฟ้อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ข้อหาโครงการ กทม.ต่อสัญญาบีทีเอส ที่ อสส.ระบุว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ดีเอสไอไม่มีอำนาจ

ส่วนที่ อสส.บอกว่าไม่เห็นหลักฐานว่ามีชายชุดดำในการชุมนุมปี 53 นั้น นายสุเทพ ตอกกลับว่า อัยการโกหก เพราะอัยการเคยเห็นข้อเท็จจริงเรื่องชายชุดดำมาแล้ว จากสำนวนคดีพิเศษที่ 18/2553 ที่ดีเอสไอยื่นให้อสส.สั่งฟ้องผู้ก่อการร้าย มีการระบุชัดว่ามีชายชุดดำในการชุมนุม ดังนั้นพฤติกรรมของ อสส.ทำให้เชื่อได้ว่ายอมเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่มีอำนาจ ทำให้ภาพพจน์ อสส.ตกต่ำ

“เพื่อเป็นพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ ผมและนายอภิสิทธิ์จึงต้องมีการดำเนินคดีกับอัยการ เพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า แม้จะเป็นอัยการก็ติดคุกได้หากทำผิดกฎหมาย และใช้อำนาจโดยไม่ชอบ” นายสุเทพ กล่าว

31 ต.ค. 56 เป็นวันที่อัยการนัดให้ดีเอสไอนำผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อศาลอาญา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ได้ไปรับทราบคำสั่งฟ้องตามนัด แต่ขอกลับมาประชุมสภาฯ ก่อน อัยการจึงนัดส่งตัวฟ้องต่อศาลในวันที่ 12 ธ.ค. 56 นี้

นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ลั่นวาจาคดีนี้จะสู้ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด ก็ต้องรอดูว่า จะสู้จริงหรือเพียงแค่ทำทีขึงขัง แล้วรอนิรโทษกรรมยกเข่งกับเขาด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น