xs
xsm
sm
md
lg

อสส.สั่งฟ้อง “มาร์ค-เทือก” ร่วมกัน “ฆ่า-พยายามฆ่า” ฐานออกคำสั่ง ศอฉ.สลายม็อบแดงปี 53

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


โฆษกอัยการสูงสุด แถลงผลการพิจารณาของ อสส.มีความเห็นสั่งฟ้อง “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ในข้อหา “ร่วมกันฆ่า-พยายามฆ่าฯ” ฐานเป็นผู้ออกคำสั่งให้ ศอฉ.ปฏิบัติหน้าที่สลายการชุมนุมของ นปช.ปี 53 พร้อมแจงดีเอสไอมีอำนาจหน้าที่สอบสวนคดีเต็มที่มากกว่า ป.ป.ช.จ่อนัดมารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมสั่งฟ้องทันที!



ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (28 ต.ค.) นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงผลการสั่งคดีที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งมอบสำนวนและเอกสารให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ข้อหาร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผล กรณีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ว่า คดีนี้ดีเอสไอได้กล่าวหานายอภิสิทธิ์ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และตั้งศูนย์อานวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยแต่งตั้งนายสุเทพเป็นผู้อานวยการ ศอฉ. ซึ่งช่วงเวลาเกิดเหตุผู้ต้องหาทั้งสองร่วมกันออกคำสั่งให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ ศอฉ.สกัดกั้นและขอคืนพื้นที่การชุมนุมโดยอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ศอฉ. ดังกล่าวใช้อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่การชุมนุมโดยเป็นการใช้อาวุธเกินกว่าความจำเป็น เป็นเหตุให้มีประชาชนกลุ่มผู้ชุมนุม และประชาชนบริเวณใกล้เคียงถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายสาหัสตามสำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาล และรายงานการชันสูตรศพหรือบาดแผลของแพทย์หลายราย อันเป็นการกระทำผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,80,83,84,288 เหตุเกิดในหลายท้องที่ ในเขตกรุงเทพมหานครเกี่ยวพันกัน ระหว่างวันที่ 7 เม.ย.-19 พ.ค. 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน

นายนันทศักดิ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นกรณีที่มีการตายเกิดขึ้น จากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ซึ่งอยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุด ที่จะพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 วรรคท้าย นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุดจึงมีความเห็นเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า 1. คดีนี้เป็นเรื่องการใช้หรือก่อให้ผู้อื่น กระทำความผิดฐานฆ่า หรือพยายามฆ่าไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะดำเนินการไต่สวนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66 2. การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองมีพยานหลักฐานในการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของ ศอฉ. ดำเนินการปิดล้อมและสกัดกั้นการเข้าร่วมชุมนุม การเคลื่อนย้ายของกลุ่มผู้ชุมนุม และขอคืนพื้นที่ชุมนุมโดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจากการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ ศอฉ.ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บริหารทั้งสอง ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากคำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสอง พยานหลักฐานจึงรับฟังได้ว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าตามข้อกล่าวหา 3. การออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ ศอฉ.ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหลายครั้งในเวลาต่างกันโดยให้ปฏิบัติ ในพื้นที่ต่างกัน แม้ผลจากการกระทำตามคำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสองจะมีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บต่างเวลาและต่างสถานที่กันก็ตาม แต่ก็เป็นการออกคำสั่งที่ต่อเนื่องกัน ขณะมีการชุมนุมทั้งนี้มีเจตนาเดียวกันเพื่อสลายการชุมนุม จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียว อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80,83,84,90,288

นายนันทศักดิ์ กล่าวต่อว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องต่อศาล โดยอัยการได้นัดให้ดีเอสไอนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อศาลอาญาในวันที่ 31 ต.ค.นี้ แต่เนื่องจากอยู่ในสมัยเปิดประชุมสภา ผู้ต้องหาสามารถใช้เอกสิทธิการเป็นส.ส.คุ้มครองได้ จึงต้องรอให้ปิดสมัยประชุมช่วงเดือน ธ.ค.นี้ และหากดีเอสไอจะทำสำนวนเข้ามาเพิ่มอีก หลังจากที่ศาลมีคำสั่งการไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตรายอื่น อัยการก็จะนำมารวมเป็นสำนวนเดียวกันได้ เพราะถือว่าการเสียชีวิตเกิดจากการออกคำสั่งเพียงครั้งเดียว จึงเป็นความผิดกระทงเดียว ทั้งนี้ หากผู้ต้องหาทั้งสองจะต่อสู้โดยนำประเด็นเรื่องการออกคำสั่งเกิดขึ้นระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากจะกล่าวหาว่ากระทำผิด ต้องอยู่ภายใต้การไต่สวนของ ป.ป.ช. หรือถ้าหากจะมีการกล่าวอ้างถึงการปะทะกันของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มชายชุดดำก็เป็นสิทธิที่จะโต้แย้งได้ แต่ในสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาไม่มีการกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงที่มีกลุ่มชายชุดดำอยู่ด้วยในครั้งนี้

นายนันทศักดิ์ กล่าวอีกว่า อัยการจึงมีความมั่นใจในการสั่งคดี เพราะมีพยานหลักฐานในการลงนามคำสั่งตั้ง ศอฉ.มีนายสุเทพเป็น ผอ.ศอฉ. รวมทั้งการออกประกาศให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธจริงในการปฏิบัติได้ ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการสลายการชุมนุมตามหลักสากล ต่างจากกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ซึ่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการให้เจ้าหน้าที่ดูแลควบคุมการชุมนุม แต่ในการสั่งดังกล่าวไม่ได้มีการระบุเป็นคำสั่งที่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธเหมือนประกาศของ ศอฉ. ดังนั้นเมื่อเป็นคดีจึงมีการกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 ที่จะต้องส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด แต่ในส่วนกรณีของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพได้มีการตั้งเรื่องตั้งแต่ในชั้นของพนักงานสอบสวนของดีเอสไอว่า ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่า โดยการออกคำสั่งจึงเป็นการกล่าวหาคดีลักษณะวิสามัญฆาตกรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ขณะที่การพิจารณาสำนวนอัยการสูงสุด ก็ได้พิจารณาถึงข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่แม้จะให้อำนาจในการออกคำสั่ง แต่คำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสองเป็นการให้ใช้อาวุธเกินความจำเป็นจนมีผู้เสียชีวิต ส่วนที่ไม่ได้กล่าวหาผบ.ตร. รวมทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่อื่นฐานร่วมกันกระทำผิด เพราะในสำนวนไม่ได้ระบุว่าร่วมกันออกคำสั่ง และเมื่อออกคำสั่งแล้วเจ้าหน้าที่ก็เป็นเพียงผู้ปฏิบัติการไม่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่หากภายหลังมีการสอบสวนไปจนระบุได้ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ทหารคนใดเป็นผู้ใช้อาวุธยิงก็เป็นการวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งการเสียชีวิตเกิดจากการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน แต่การดำเนินคดีต้องพิจารณาว่าจะมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามมาตรา 157 ด้วยหรือไม่

เมื่อถามว่า สำนวนคดีนี้อัยการได้พิจารณาด้วยหรือไม่ว่าการออกคำสั่งดังกล่าว จะเป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 ด้วยหรือไม่

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีนี้ได้มีการตั้งเรื่องว่าเป็นการออกคำสั่งที่ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น ซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว จึงไม่ได้กล่าวหาว่า ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตาม มาตรา 157 ด้วย อย่างไรก็ตาม คำสั่งของอัยการสูงสุดไม่ใช่บรรทัดฐานในอนาคตว่า หากจะมีการออกคำสั่งดังกล่าวจะเกิดเป็นความผิด โดยจะต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งอัยการก็ไม่ได้ต้องการให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ส่วนที่จะมีการกล่าวหาว่าผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิด 157 ด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นอำนาจการไต่สวนของป.ป.ช.นั้น ที่จริงเมื่ออัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว ป.ป.ช.ก็ต้องพิจารณาว่าเมื่อมูลเหตุเป็นเรื่องเดียวกันแล้ว ถ้าอัยการสั่งฟ้องก็ควรจะระงับการพิจารณาไว้ เพราะถ้าทำคดีแล้วจะยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่อีกก็จะเป็นการฟ้องซ้ำ ผู้ต้องหาสามารถโย้แย้งได้ว่าอัยการทำคดีนี้แล้ว

ด้านนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวยืนยันว่า ไม่ห่วงเรื่องกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเชื่อว่าต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยก่อนหน้านี้ นายอรรถพล ใหญ่สว่างอัยการสูงสุด ก็เคยระบุแล้วว่า หลังกลับจากต่างประเทศจะแถลงคดีนี้ ซึ่งจะมีคนเกลียดและคนชอบเพิ่มมากขึ้น และไม่รู้สึกกังวลหากผู้ต้องหาทั้งสองจะฟ้องกลับ เพราะการพิจารณาของอัยการสูงสุดเป็นไปตามพยานหลักฐาน ยืนยันไม่มีการเมืองแทรกแซง 100 เปอร์เซ็นต์ และลักษณะของคดีวิสามัญฆาตกรรมก็มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2517 ที่วางไว้แล้วในเรื่องการกระทำใดเป็นลักษณะการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่จะปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

นอกจากนี้ นายนันทศักดิ์ พูลสุข กล่าวถึง กรณีที่มีผู้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงการที่นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นจำเลยในคดีก่อการร้ายว่า นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด ได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาถึงเหตุผลในการสั่งคดี และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยมีคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้ตรวจการอัยการเป็นประธานคณะทำงาน อธิบดีอัยการคดีอาญา และอธิบดีอัยการคดีพิเศษเป็นกรรมการ รวมถึงมีคณะทำงานอื่นๆร่วมอีกด้วย โดยจะพิจารณาให้เร็วที่สุด

เมื่อถามว่าหากคณะทำงานพิจารณาแล้วจะมีผลเปลี่ยนแปลงคำสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณหรือไม่ โฆษกสำนักงานอัยการสูดสุด กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะทำงานว่าจากการพิจารณาตรวจสอบจะค้นพบพยานหลักฐานใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของ อดีตอัยการสูงสุดได้หรือไม่

สำหรับประธานของคณะทำงานที่ทำการตรวจสอบในเรื่องนี้ คือ นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล ผู้ตรวจการอัยการซึ่งเป็นอดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ และโฆษกอัยการสูงสุด สมัยนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ เป็นอัยการสูงสุด

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของอัยการในการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนว่า ถ้าหากคดีที่ยังไม่มีคำพิพากษา โดยหลักการแล้วถึงจะถือว่าเป็นอำนาจในการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนโดยตรงของอัยการ เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อศาล แต่หากเป็นคดีที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ศาลจะเป็นผู้ออกหมายจับ และสำนักงานตรวจแห่งชาติ (สตช.)จะเป็นผู้ดำเนินการจับกุมติดตามตัวหากทราบตัวว่าจำเลยอยู่ต่างประเทศ ทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช.และ กระทรวงการต่างประเทศ จะต้องประสานความร่วมมือและแจ้งพิกัดที่อยู่ของจำเลยที่แน่ชัดมาเพื่อให้ทางสำนักงานอัยการสูงสุดขอตัวส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน


นายนันทศักดิ์ พูลสุข โฆษกอัยการสูงสุด




กำลังโหลดความคิดเห็น