สะเก็ดไฟ
ระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน เป็นสัจธรรมที่จริงแท้แน่นอนและยิ่งแจ่มแจ้งแดงแจ๋ หางโผล่ให้เห็นชัดเจนมากขึ้นในยุคที่ “กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม” ที่ปรากฏให้เห็นเต็มสองตาอยู่ในขณะนี้ ภายใต้การปกครองของคนตระกูลชินวัตร
ที่ลิ่วล้อคนชั่วกล้าเปิดเผยตัว ส่วนคนดีมุดหัวลงรู
ใครจะคิดว่าคนที่ทำงานอยู่ในกระบวนการยุติธรรมจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ถึงขั้นออกมากระทืบอำนาจตุลาการได้อย่างน่ารังเกียจยิ่ง
ชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม ถึงขนาดยกแผงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เสนอหน้าออกมาการันตีกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยแบบสุดตีนแถมซอยถี่ๆ ด้วยการเอาสีข้างเข้าถูเพื่อหาความชอบธรรมให้โจรปล้นชาติอีกด้วยการอ้างเรื่องผลไม้พิษ
ทนายแผ่นดินกลายร่างเป็น “ทนายโจร” สืบทอดทายาทกันมาโดยไร้ความรู้สึกนึกคิดต่อความถูกต้องและหลักการของบ้านเมือง
“ต้องการให้มีการนับหนึ่งใหม่ซึ่งจะต้องมีการเคลียร์เรื่องเก่าทั้งหมด ไม่เช่นนั้นปัญหาก็จะไม่สิ้นสุดและติดค้างอยู่ตลอด ไม่มีใครได้ หรือเสียประโยชน์ทั้งหมดส่วนเรื่องผลจากการนิรโทษกรรมจะทำให้ต้องคืนเงินในคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.นี้ แต่หากจะไปฟ้องร้องกับศาลแพ่งก็เป็นเรื่องของศาลหรือถ้าไม่อยากคืนเงินก็ต้องออกกฎหมายกำหนดให้ชัดเจน
ทั้งนี้ ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร เพราะถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ดำเนินคดีเกี่ยวกับทุจริตซีทีเอ็กซ์ กว่าคดีจะจบใช้เวลานานกว่า 9 ปี ทั้งที่ผมตั้งใจทำงานและคิดว่าจะได้รับดอกไม้ แต่เมื่อมีการปฏิวัติกลับได้รับแต่ก้อนหิน”
ถ้อยแถลงของ “ชัยเกษม” สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัว ชนิดที่ว่าไม่ต้องคำนึงถึงหลักการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความจริง “ชัยเกษม” คือคนที่จรดปากกาลงความเห็นให้สั่งฟ้องคดีที่ดินรัชดาฯ จนศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำตัดสินจำคุกนักโทษชายทักษิณ 2 ปี และยังเป็นผู้ที่ส่งฟ้องคดียึดทรัพย์คนโกงชาติตามสำนวนที่ คตส.เสนอมาด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณเรืองอำนาจ โดยเฉพาะคดีทุจริตซีทีเอ็กซ์ ทำให้กว่าที่คดีที่ดินรัชดาฯ และคดียึดทรัพย์จะส่งฟ้องใช้เวลาดองอยู่ที่อัยการนานโข
แต่ในที่สุดอัยการก็ส่งฟ้อง และหลังจากนั้นคดีที่เกี่ยวกับทักษิณและพวกอัยการก็จะแสดงความเห็นขัดกับ คตส.มาโดยตลอด จนกระทั่ง ป.ป.ช.มารับงานต่อในเรื่องทุจริตรถและเรือดับเพลิงอัยการสูงสุดในยุคของจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ที่มานั่งเก้าอี้ต่อจากชัยเกษมก็ไม่ส่งฟ้องเช่นกัน จน ป.ป.ช.ต้องส่งฟ้องเอง และในที่สุดศาลฎีกาฯ มีคำตัดสินจำคุกประชา มาลีนนท์ รมช.มหาดไทย ฐานทุจริตต่อหน้าที่เป็นเวลา 15 ปี
ความจริงในหลักการ แค่ “มีส่วนได้ส่วนเสีย” ก็ไม่ควรเป็นผู้พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับคดีความแล้วแต่ชัยเกษม มิได้ระลึกถึงคุณธรรมในข้อดังกล่าวยังคงนั่งเป็นอัยการสูงสุดในวันที่ต้องดำเนินคดีกับคนที่ตัวเองมีผลประโยชน์ร่วมด้วยซึ่งกาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า “เขาคือคนของระบอบทักษิณ”
โดยหลังจากที่พรรคของทักษิณกลับมาเรืองอำนาจ ชัยเกษมก็ขึ้นหม้อมีตำแหน่งพ่วงท้ายมาโดยตลอด ตั้งแต่ประธานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถาบันเพื่อความยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) และประธานกรรมการบริหารธนาคารอาคารสงเคราะห์ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งเป็น รมว.ยุติธรรม อย่างเต็มตัวในรัฐบาลปูแดงปัจจุบัน
ดังนั้นจึงมีความชัดเจนยิ่งว่า ทำไมการทำงานของ คตส.ในห้วงเวลานั้นแม้จะเป็นช่วงหลังการรัฐประหารแต่ก็ทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะ “ต้นไม้พิษของระบอบทักษิณ” ได้ฝังรากลึกจนผลิดอกออกผลระบาดในวงราชการแปรสภาพจากข้าราชการเป็น “ขี้ข้าม้าใช้ให้ทักษิณ” จนเกือบหมด
เรียกว่าทักษิณควบคุมกระบวนการยุติธรรมตั้งต้นได้ทั้งหมด ตั้งแต่ ตำรวจไปถึงอัยการและนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม คมช.ในขณะนั้นจึงต้องตั้ง คตส.ขึ้นมาทำหน้าที่เพื่อให้คดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรม โดยมิได้มีการใช้กฎหมายใหม่หรือพิสดารอะไรเลยแต่เป็นกฎหมายที่มีการบังคับใชัอยู่แล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องการกลั่นแกล้งและกระบวนการพิจารณาก็เป็นไปตามระบบยุติธรรมที่ ชัยเกษม ย่อมรู้แก่ใจดีเพราะถ้าคดีของทักษิณไม่ชอบด้วยกฎหมายวันนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งล้างผิดทั้งโทษคุกและโทษปล้นชาติ
แต่เพราะทักษิณทำผิดกฎหมายจริง จึงต้องดิ้นรนออกกฎหมายนิรโทษกรรมคนโกงเป็นฉบับแรกในโลกซึ่งนักกฎหมายอย่าง “ชัยเกษม” อาจรู้สึกปลาบปลื้มก็ได้ที่ได้ร่วมอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อัปยศของกระบวนการยุติธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้
ไม่ต่างจาก “ธาริต” ที่สังคมเปลี่ยนนามสกุลให้เรียบร้อยว่า “เปลี่ยนสี” รับใช้เข้าตานายใหญ่จนได้ต่ออายุเป็นอธิบดีดีเอสไออีก1 ปี จากการลงนามของ “ชัยเกษม” ในฐานะ รมว.ยุติธรรมจึงถือเป็นดรีมทีมของทักษิณที่กำลังพายเรือให้โจรนั่งไปถึงฝั่งแห่งความอยุติธรรมและอำมหิตต่อสังคมไทย
“ในฐานะที่มีส่วนได้ส่วนเสียในกฎหมายฉบับนี้ทั้งในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนดำเนินคดีทั้งกับคนเสื้อแดงและผู้สั่งการคือนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพและในฐานะที่ตนเป็นผู้ที่ถูกนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพฟ้อง ซึ่งหากทำคดีต่อไป คาดว่าจะถูกฟ้องไม่ต่ำกว่า 2,066 คดี คาดว่ากว่าคดีจะจบก็ตนก็คงเสียชีวิตไปแล้วหลังเหตุการณ์ปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 ในทางกฎหมายถือเป็นการสร้างต้นผลไม้พิษแต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ฉลาดล้ำลึก ที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตนเองทำให้มีคนที่อยู่ในข่ายถูกจัดการจำนวนมาก ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดง ดังนั้นจึงต้องโละทิ้งทั้งหมด ไม่ใช่โละให้เฉพาะฝ่ายปฏิวัติ ตอนนี้ต้นไม้พิษ ออกผลไม้พิษและแตกกิ่งก้านสาขาไปเรื่อย ในหลักคิดจึงต้องโค่นต้นไม้พิษทิ้งซึ่งหลักการนี้เป็นหลักนานาชาติ ได้รับการยอมรับทั่วโลก
“ผมในฐานะเหยื่อจากต้นไม้พิษอยากได้กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ อยากได้ทั้งหมด และสุดซอย ทั้งในฐานะผู้สอบสวนคดีและเหยื่อจากผลไม้พิษ”
คำพูดข้างต้นของธาริตที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากที่เคยยึดหลักการ ระบบกฎหมาย ผิดต้องเป็นผิดถูกต้องเป็นถูก กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดในยุคอภิสิทธิ์เปลี่ยนตัวเองจากหน้ามือไปเป็นหลังตีนอย่างไม่ละอาย แถมยอมรับกันด้านๆ ว่า “นิรโทษกรรมเหอะ เพราะกูก็จะได้ประโยชน์ด้วย”
ไม่น่าเชื่อว่า “ระบอบทักษิณ” และ “อำนาจเงิน” จะเปลี่ยนสังคมไทยให้เปลี่ยนทัศนคติต่อความดีความชั่วและสำนึกแห่งความถูกต้องจากขาวกลายเป็นดำได้ขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ประธาน คมช. ซึ่งเป็นผู้ทำการรัฐประหารนักโทษหนีคดีเองก็ยังร่วมโหวตให้ทักษิณซึ่งเขาเคยกล่าวหาว่า “ทำให้ประเทศไทยเหลือแต่กระดูก”พ้นผิดในทุกคดีได้เงินโกงชาติคืนกลายเป็นการร่วมปล้นประเทศรอบสองอย่างน่าสังเวชใจ
ไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกฎหมายไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในฐานะตำแหน่งหรือเงื่อนไขใดย่อมอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายของแผ่นดินและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเหมือนกันหมด
คำคมที่เคยเป็นอมตะวาจาให้นักกฎหมายที่ยังมีสำนึกและซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตัวเองคงมิอาจใช้ได้อีกแล้ว เพราะนักกฎหมายรุ่นหลังไม่สนใจต่อวิชาชีพ และหันหลังให้กับศีลธรรม