“จัสมินฯ”เทรดสนั่น 9.3 พันล้าน ทิ้งหุ้นจ้าละหวั่น หลังกรณีศาลฎีกายกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการ จนรูดเกือบแตะ8.00 บาท ก่อนปิดที่ระดับ 8.45 บาท ลดลง 10.11% เหตุบริษัทเร่งแจ้งงบไตรมาส3 และงวด 9 เดือนกำไรพุ่ง ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน แม้ต้องตั้งสำรองจ่ายเจ้าหนี้เพิ่ม 1.3 พันล้านบาท แต่โบรกฯเชื่อกระทบไม่มาก
บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3/56 ว่า มีกำไรสุทธิ 754.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาส3/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 605.82 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,245.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 1,489.08 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส3/56 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 2,820 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น4% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วหรือ เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับอัตราเฉลี่ยต่อปี ซึ่งสัดส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นมานั้นตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 6 หมื่นรายในไตรมาสที่3 จากการขยายตัวของเทคโนโลยี ที่มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเป็นจำนวน 36 ล้านบาท จากทั้งหมด 44 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3ของปีที่แล้ว ขณะที่ไม่มีในส่วนนี้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ทั้งนี้ บริษัท มียอดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ 7 ล้านบาท และรายได้ก่อนหักภาษี(EBITDA ) อยู่ที่ 1,468 ล้านบาท ลดลง 1% เทียบระหว่างไตรมาส แต่กลับเพิ่มขึ้น 19% หากเที่ยบกันในระหว่างปีต่อปี โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 754 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบระหว่างไตรมาส และเพิ่มขึ้นถึง 22% ในอัตราเปรียบเทียบปีต่อปี
อย่างไรตาม จากกรณีศาลฎีกายกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลางที่พิพากษาไปตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งบริษัทแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วงเย็นวันที่ 30ต.ค.56 ส่งผลให้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อ JAS ในฐานะลูกหนี้จะกลับไปเป็นเช่นเดิมดังที่เป็นอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการคือ 17 ก.ย.2545 ซึ่งเจ้าหนี้สามารถเรียกร้องหนี้ได้ไม่เกิน 1,343 ล้านบาทนั้น ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทวานนี้ (31ต.ค.) ปรับตัวลดลง โดยปิดที่ 8.45 บาท ลดลง 0.95 บาท หรือ 10.11% จากราคาปิดวันก่อน 9.40 บาท และระหว่างวันปรับตัวต่ำสุดที่ระดับ 8.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 9,387.27 ล้านบาท ขึ้นเป็นหลักทรัพย์อันดับ 1 ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดของวานนี้(31ต.ค.)
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า หาก JASต้องตั้งสำรองทั้งจำนวน จะกระทบกำไรปีนี้ 0.19 บาทต่อหุ้นหรือ 43% อย่างไรก็ตาม หากมีการเรียกร้องให้ชำระหนี้ จะต้องเข้าสู่กระบวนการศาลแพ่งซึ่งต้องใช้เวลา และอาจกระทบแผนการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ หรือต้นปี2557
ทั้งนี้ คาดว่า เรื่องดังกล่าวจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น มีผลต่อมูลค่าหุ้นไม่มากนัก เนื่องจาก JAS ได้ชำระหนี้สินตามแผนฟื้นฟูจนครบแล้ว แต่อาจจะมีภาระเพิ่มเติมจากการ Hair Cut ครั้งนั้น โดยที่ปรึกษาทางกฏหมายประเมินความเสียหายไว้ไม่เกิน 1,343 ล้านบาท
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า เรื่องนี้จะทำให้ หนี้สินทางการเงินต่อทุน ของJAS เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.27 เท่า จากปัจจุบันที่ระดับ 0.14 เท่า ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำ
บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3/56 ว่า มีกำไรสุทธิ 754.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาส3/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 605.82 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,245.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 1,489.08 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส3/56 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 2,820 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น4% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วหรือ เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับอัตราเฉลี่ยต่อปี ซึ่งสัดส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นมานั้นตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 6 หมื่นรายในไตรมาสที่3 จากการขยายตัวของเทคโนโลยี ที่มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเป็นจำนวน 36 ล้านบาท จากทั้งหมด 44 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3ของปีที่แล้ว ขณะที่ไม่มีในส่วนนี้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ทั้งนี้ บริษัท มียอดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ 7 ล้านบาท และรายได้ก่อนหักภาษี(EBITDA ) อยู่ที่ 1,468 ล้านบาท ลดลง 1% เทียบระหว่างไตรมาส แต่กลับเพิ่มขึ้น 19% หากเที่ยบกันในระหว่างปีต่อปี โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 754 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบระหว่างไตรมาส และเพิ่มขึ้นถึง 22% ในอัตราเปรียบเทียบปีต่อปี
อย่างไรตาม จากกรณีศาลฎีกายกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลางที่พิพากษาไปตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งบริษัทแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วงเย็นวันที่ 30ต.ค.56 ส่งผลให้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อ JAS ในฐานะลูกหนี้จะกลับไปเป็นเช่นเดิมดังที่เป็นอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการคือ 17 ก.ย.2545 ซึ่งเจ้าหนี้สามารถเรียกร้องหนี้ได้ไม่เกิน 1,343 ล้านบาทนั้น ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทวานนี้ (31ต.ค.) ปรับตัวลดลง โดยปิดที่ 8.45 บาท ลดลง 0.95 บาท หรือ 10.11% จากราคาปิดวันก่อน 9.40 บาท และระหว่างวันปรับตัวต่ำสุดที่ระดับ 8.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 9,387.27 ล้านบาท ขึ้นเป็นหลักทรัพย์อันดับ 1 ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดของวานนี้(31ต.ค.)
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า หาก JASต้องตั้งสำรองทั้งจำนวน จะกระทบกำไรปีนี้ 0.19 บาทต่อหุ้นหรือ 43% อย่างไรก็ตาม หากมีการเรียกร้องให้ชำระหนี้ จะต้องเข้าสู่กระบวนการศาลแพ่งซึ่งต้องใช้เวลา และอาจกระทบแผนการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ หรือต้นปี2557
ทั้งนี้ คาดว่า เรื่องดังกล่าวจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น มีผลต่อมูลค่าหุ้นไม่มากนัก เนื่องจาก JAS ได้ชำระหนี้สินตามแผนฟื้นฟูจนครบแล้ว แต่อาจจะมีภาระเพิ่มเติมจากการ Hair Cut ครั้งนั้น โดยที่ปรึกษาทางกฏหมายประเมินความเสียหายไว้ไม่เกิน 1,343 ล้านบาท
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า เรื่องนี้จะทำให้ หนี้สินทางการเงินต่อทุน ของJAS เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.27 เท่า จากปัจจุบันที่ระดับ 0.14 เท่า ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำ