ดัชนีหุ้นไทยปิดช่วงเช้าที่ระดับ 1,451.49 จุด เพิ่มขึ้น 2.95 จุด +0.20% มูลค่าซื้อขาย มูลค่าการซื้อขาย 19,091.52 ล้านบาท โดย 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TRUE ปิดที่ 9.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท KBANK ปิดที่ 185.00 บาท ลดลง 0.50 บาท JASปิดที่ 9.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท SCB ปิดที่ 160.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท AOT ปิดที่ 208.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุกับ iBiz channel ว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าวันนี้ (22-10-56) ยังคงผันผวน หลังจากเกิดแรงขายของกองทุนทริกเกอร์ฟันด์เมื่อวานนี้ ขณะที่ ต่างชาติแม้ยังไม่ได้มีสัญญาการขาย แต่ก็ยังไม่ได้มีแรงซื้ออย่างเป็นนัยสำคัญมากนัก จึงทำให้การลงทุนช่วงนี้เกิดความผันผวน โดยให้นักลงทุนสังเกตแนวรับดัชนีที่ 1440 เป็นหลัก หากหลุดไปจะทำให้เชื่อมั่นของนักลงทุนหาย และจะทำให้หุ้นแกว่งตัวออกข้าง แต่ในระดับ 1400 จุด เชื่อว่าจะรับอยู่ได้ ส่วนแนวต้านจะอยู่ที่ 1460 จุด ซึ่งหากสามารถผ่านขึ้นไปได้จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจตามมา
ส่วนปัจจัยด้านการเมืองกับการนำ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา นั้นมองว่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น และไม่น่าจะเกิดความรุนแรงแต่อย่างใด ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะดูปัจจัยพื้นฐานซึ่งบริษัทจดทะเบียนในไทยยังคงทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องมากกว่า ขณะที่นักลงทุนต่างชาติจะมีการเพิ่มพอร์ตลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในปีหน้า ส่วนกลยุทธ์การลงทุนนั้น หากหุ้นลงให้ซื้อบริเวณแนวรับ แต่ถ้าปรับตัวขึ้นไปให้ถือได้ โดยหุ้นที่อาจจะเป็นกลุ่มนำหากผ่าน 1460 จุด คือ หุ้นกลุ่มรับเหมา เช่นเดียวกันหุ้นขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มแบงก์ ก็ยังสามารถลงทุนได้
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุกับ iBiz channel ว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าวันนี้ (22-10-56) ยังคงผันผวน หลังจากเกิดแรงขายของกองทุนทริกเกอร์ฟันด์เมื่อวานนี้ ขณะที่ ต่างชาติแม้ยังไม่ได้มีสัญญาการขาย แต่ก็ยังไม่ได้มีแรงซื้ออย่างเป็นนัยสำคัญมากนัก จึงทำให้การลงทุนช่วงนี้เกิดความผันผวน โดยให้นักลงทุนสังเกตแนวรับดัชนีที่ 1440 เป็นหลัก หากหลุดไปจะทำให้เชื่อมั่นของนักลงทุนหาย และจะทำให้หุ้นแกว่งตัวออกข้าง แต่ในระดับ 1400 จุด เชื่อว่าจะรับอยู่ได้ ส่วนแนวต้านจะอยู่ที่ 1460 จุด ซึ่งหากสามารถผ่านขึ้นไปได้จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจตามมา
ส่วนปัจจัยด้านการเมืองกับการนำ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา นั้นมองว่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น และไม่น่าจะเกิดความรุนแรงแต่อย่างใด ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะดูปัจจัยพื้นฐานซึ่งบริษัทจดทะเบียนในไทยยังคงทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องมากกว่า ขณะที่นักลงทุนต่างชาติจะมีการเพิ่มพอร์ตลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในปีหน้า ส่วนกลยุทธ์การลงทุนนั้น หากหุ้นลงให้ซื้อบริเวณแนวรับ แต่ถ้าปรับตัวขึ้นไปให้ถือได้ โดยหุ้นที่อาจจะเป็นกลุ่มนำหากผ่าน 1460 จุด คือ หุ้นกลุ่มรับเหมา เช่นเดียวกันหุ้นขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มแบงก์ ก็ยังสามารถลงทุนได้