หุ้นไทยปิดบวก 0.08 จุด อยู่ที่ระดับ 1,408.99 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 28,354.56 ล้านบาท โบรกฯ คาดปัญหาภายนอกประเทศจากวิกฤต American Shut Down ส่งผลบวกต่อการลงทุนโดยรวมในทุกตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาค
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (2 ต.ค.) ปิดที่ระดับ 1,408.99 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.08 จุด หรือ +0.06% มูลค่าการซื้อขาย 28,354.56 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,416.20 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,401.64 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวบวกจากปัจจัยต่างประเทศ สถาบันเทหน้าตักซื้อกว่า 2,133.70 ล้านบาท ในขณะที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นสวนดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น จำนวน 342 หลักทรัพย์ ลดลง 292 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 212 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,133.70 ล้าน ในขณะที่บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ -1,476.95 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ -379.04 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ -277.71 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
KBANK ปิดที่ 177.00 บาท ลดลง -3.00 บาท หรือ -1.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,892,670 ล้านบาท
TRUE ปิดที่ 8.10 บาท เพิ่มขึ้น +0.10 บาท หรือ +1.25% มูลค่าการซื้อขาย 1,593,311 ล้านบาท
CPALL ปิดที่ 36.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,398,260 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 151.50 บาท ลดลง -2.50 บาท หรือ -1.62% มูลค่าการซื้อขาย 1,162,034 ล้านบาท
ADVANC ปิดที่ 258.00 บาท เพิ่มขึ้น +1.00 บาท หรือ +0.39% มูลค่าการซื้อขาย 996,261 ล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ยังคงแกว่งตัวผันผวนในแนวบวกต่อไป จากสถานการณ์หยุดงานของหน่วยงานราชการในประเทศสหรัฐฯ หรือ American Shut Down ทำให้มองว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะชะลอมาตรการ QE ออกไปอีกอย่างน้อยจนถึงการประชุมรอบเดือนธันวาคม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยอื่นๆ ที่มีความชัดเจนออกมา และสถานการณ์โดยรวมยังคงไม่มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลในเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุน และจะยังคงอยู่ในแนวบวกต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยตลอดทั้งสัปดาห์
ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่นักลงทุนอาจจะต้องติดตาม คือ การพิจารณาร่างงบประมาณพิจารณารายจ่ายประจำปีภาครัฐ ซึ่งอยู่ในช่วงของการพิจารณารอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และการตัดสินที่มาของสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ซึ่งยังไม่ได้กำหนดวันประชุม
อย่างไรก็ดี การปรับลดเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือที่ปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจในประเทศทั้งระบบที่จะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยนักลงทุนไทยควรพิจารณารอจังหวะเข้าซื้อสะสมในหุ้นกลุ่มอสังหาฯ กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ทั้งนี้ แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (3 ต.ค.) จะมีกรอบแนวรับที่ 1,403-1,405 จุด และแนวต้านที่ 1,416-1,420 จุด