xs
xsm
sm
md
lg

ปิดหน่วยงานUSทองคำร่วง450หุ้นยังทรงตัวต่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน-นักลงทุนผิดหวังสหรัฐฯปิดหน่วยงาน แห่เทขายกดทองดิ่งลง550 บาทก่อนฟื้นมาลดลง450 บาท เตือนติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ มีโอกาสขึ้นแตะ1,302เหรียญ แต่ระวังแรงขายทำกำไร ด้านบาทอ่อนด้วยแตะ31.32 บาท รอความชัดเจน ส่วนหุ้นปิดบวก0.08 จุด โบรกฯชี้ยังมีโอกาสไปต่อ หลังQE ส่อไม่ลด อีกทั้ง แนะติดตามร่างงบประมาณพิจารณารายจ่ายประจำปีภาครัฐ ด้านบล.ทิสโก้ คาดปลายปีหุ้นมีลุ้น1,500 จุด

ภาพรวมการความเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งและทองรูปพรรณวานนี้ (2 ต.ค.) เปิดตลาดราคาทองประกาศครั้งแรก ปรับลง 550 บาท รวมราคาทองวันนี้ปรับทั้งหมด 5 ครั้ง ราคาปรับลง 450 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อคืนที่บาทละ 19,150บาท และขายที่ 19,250 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนที่บาทละ 18,874.20 บาท และขายที่บาทละ 19,650 บาท

บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานแนวดน้มราคาทองคำว่า ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,279.15-1,296.46 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV13 อยู่ที่ 19,280 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 470 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,750 บาท ขณะที่ซิวเวอร์ฟิวเจอร์ SVV13 อยู่ที่ 717 บาท โดยราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 717 บาท

โดยหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐหลายแห่งปิดทำการลงและหมดอำนาจในการใช้จ่ายเงินในช่วงเวลา 11.00 น.ของวันอังคารตามเวลาไทย ขณะที่ตลาดทองคำไม่ตอบสนองข่าวดังกล่าวในเชิงบวก จากความผิดหวังของนักลงทุนที่ราคาทองคำไม่ได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐปิดทำการลง ประกอบกับราคาทองคำหลุดกรอบราคาระดับ 1,320 ดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรง ซึ่งถือเป็นดิ่งอย่างฉับพลันสูงสุดในรอบเกือบ 2 เดือน

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันเพิ่มขึ้น หลังจากฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐบางส่วนจะไม่ทำให้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจากระดับ AAA แต่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการงบประมาณ และ เพิ่มความวิตกว่าสหรัฐจะสามารถปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้หรือไม่ ภายในกำหนด เส้นตายวันที่ 17 ตุลาคม นี้ ทั้งนี้เมื่อราคาทองคำอ่อนตังลงยังคงมีแรงเข้าซื้อค่อนข้างน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังไม่ต้องการเน้นสถานะซื้อหรือขายทองคำมากเกินไป เพราะต้องรอดูความคืบหน้าและนักลงทุนยังคงใช้ความระมัดระวัง ซึ่งยังคงแนะนำการลงทุนในลักษณะรอจังหวะซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นราคาทองคำอาจมีโอกาสทดสอบแนวต้านที่ 1,302 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร

บาทอ่อนแตะ31.22 บาท/เหรียญรอความชัดเจนUS

นักบริหารเงิน กล่าวว่า เงินบาทปิดตลาดวานนี้ที่ระดับ 31.32/33 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าต่อเนื่องจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.22/24 บาท/ดอลลาร์ จากแรงซื้อดอลลาร์ซึ่งนักลงทุนมองว่าประเด็นเรื่อง Government Shutdown ของสหรัฐฯไม่น่าจะนาน และไม่น่าจะเป็นผลร้ายแรง

หุ้นทรงตัวรอบวกต่อ จากคาดไม่ลดQE

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (2 ต.ค.) ปิดที่ระดับ 1,408.99 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.08 จุด หรือ +0.06% มูลค่าการซื้อขาย 28,354.56 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,416.20 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,401.64 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวบวกจากปัจจัยต่างประเทศ สถาบันซื้อกว่า 2,133.70 ล้านบาท ในขณะที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นสวนดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง

นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ยังคงแกว่งตัวผันผวนในแนวบวกต่อไป จากสถานการณ์หยุดงานของหน่วยงานราชการในประเทศสหรัฐฯ ทำให้มองว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะชะลอมาตรการ QE ออกไปอีกอย่างน้อยจนถึงการประชุมรอบเดือนธันวาคม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยอื่นๆ ที่มีความชัดเจนออกมา และสถานการณ์โดยรวมยังคงไม่มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลในเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุน โดยปัจจัยภายในประเทศที่นักลงทุนอาจจะต้องติดตาม คือ การพิจารณาร่างงบประมาณพิจารณารายจ่ายประจำปีภาครัฐ ซึ่งอยู่ในช่วงของการพิจารณารอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และการตัดสินที่มาของสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ซึ่งยังไม่ได้กำหนดวันประชุม

ทั้งนี้ นักลงทุนไทยควรพิจารณารอจังหวะเข้าซื้อสะสมในหุ้นกลุ่มอสังหาฯ กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ทั้งนี้ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (3 ต.ค.) จะมีกรอบแนวรับที่ 1,403-1,405 จุด และแนวต้านที่ 1,416-1,420 จุด

ทิสโก้ คาดดัชนีหุ้นปลายปี แตะที่1,500 จุด '

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปีนี้จะอยู่ระดับ 1,500 จุด โดยในช่วงปลายเดือน พ.ย. ต่อเนื่องถึงเดือน ธ.ค. จะมีเม็ดเงินจากการซื้อ LTF และ RMF เข้ามาช่วยดันดัชนีให้ปรับเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่า การที่สหรัฐเกิด Goverment Shutdown น่าจะเป็นเหตุการณ์เป็นระยะสั้นไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากในอดีตได้เกิดขึ้นหลายครั้ง ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย โดยหน่วยงานราชการไม่ได้ปิดทั้งหมด ยังมีความมั่นคงและสวัสดิการอยู่ และสิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือการพิจารณาเพิ่มเพดานหนี้ แต่คาดว่าน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี และทำให้เฟดอาจจะไม่ลดปริมาณ QE ลงในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ยังคงมีเงินไหลเข้าอยู่

ส่วนภาวะเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งนี้ในเรื่องของการส่งออกและดุลบัญชีสะพัดจะมีแนวโน้มที่ดี ตั้งแต่เดือน ส.ค. ซึ่งการประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ของสภาพัฒน์ ในเดือน พ.ย. นี้ อาจจะพลิกกลับมาเป็นบวก ทำให้หลุดภาวะถดถอยทางเทคนิคได้ ทั้งนี้ แนะนำหุ้นเด่น ได้แก่ กลุ่มรับเหมาฯ ที่จะมีเรื่องของ พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท เข้ามาช่วย และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ปลายปีนี้จะเป็นช่วงไฮซีซั่น รวมถึงกลุ่มขนส่ง ที่จะได้รับปัจจัยบวก จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล
กำลังโหลดความคิดเห็น