บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานตลาด ศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลล้มละลายกลาง จากสถานะหนี้ในช่วงฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้หนี้รวมดอกเบี้ยพุ่งกว่า 3.4 พันล้าน แถมหนี้จ่อแผนฟื้นฟูอีกกว่า 2 ร้อยล้าน เผยอนาคตเตรียมคลอด Infrastructure fund ให้ทัน Q1 ปี 57 เพื่อล้างหนี้ และหวังสร้างกำไรต่อเนื่อง
จากกรณีที่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS ซึ่งประกอบธุรกิจประเภทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เคยประสบปัญหาทางการเงิน จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และได้รับความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลาง ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2546 และดำเนินการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเรื่อยมา ตลอดจนผ่านการชำระหนี้ด้วยเงินสด การโอนหุ้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ หรือการแปลงหนี้สินบางส่วนเป็นทุนในการชำระหนี้
อย่างไรก็ตาม ต่อมามีเจ้าหนี้บางรายเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความชอบธรรมจากการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าว จึงยื่นเรื่องร้องต่อศาลฎีกา เพื่อรื้อคดีเรียกร้องค่าเสียหายอีกครั้ง ซึ่งอย่างไรก็ตาม หากมีการเรียกร้องให้ชำระหนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการศาลแพ่งซึ่งต้องใช้เวลา โดยในวันที่ 19 ส.ค.2556 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับคำพิพากษาของศาลฎีกา “ไม่เห็นชอบ” ต่อแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวของบริษัท จึงให้ที่ปรึกษากฎหมายรวบรวมข้อเท็จจริง และความเห็นทางกฎหมายต่อประเด็นดังกล่าว
โดยวันที่ 30 ต.ค.2556 ที่ปรึกษากฎหมายรวบรวม ศึกษาข้อมูล และมีความเห็นว่า คำพิพากษาของศาลฎีกามีผลให้ฐานะการเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้กลับไปเป็นเช่นเดิมที่เป็นอยู่ก่อนวันที่ศาลสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ นอกจากนี้ ที่ปรึกษากฎหมายระบุว่า เจ้าหนี้ที่มีอยู่ก่อนที่สามารถเรียกชำระหนี้เพิ่มเติมได้ไม่เกิน 1,343 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ประเด็นดังกล่าวอาจเป็นประเด็นลบต่อราคาหุ้นในช่วงสั้น เนื่องจากเป็นประเด็นลบใหม่ที่นอกเหนือคาดการณ์ของบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง แต่ไม่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว ซึ่งคาดว่าสิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ จัสมินจะมีหนี้ที่มีดอกเบี้ยประมาณ 3,456 ล้านบาท และมีหนี้ระยะยาวตามแผนฟื้นฟูกิจการอีกประมาณ 202 ล้านบาท โดยมีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสด 2,307 ล้านบาท และมีหนี้สินทางการเงินต่อทุน (Net debt/Equity) อยู่ที่เฉลี่ย 0.14 เท่า
ทั้งนี้ หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดของบริษัทคือ ต้องจ่ายชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวทั้งก้อนจะมีผลทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษทั้งจำนวนในปีนี้ทำให้กำไรสุทธิปีหนี้ลดลงจากประมาณการ จาก 3,200 ล้านบาท เหลือ 1,857 ล้านบาท แต่คาดว่าจะไม่กระทบต่อกำไรปกติ และบริษัทมีความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ได้ทั้งก้อน แต่อาจจะจะกระทบกระแสเงินสดหวุนเวียนบ้างเมื่อมีการจ่ายจริงซึ่งจะกระทบการประเมินมูลค่าในสัดส่วนที่จำกัด
ขณะเดียวกัน หากมีการชำระหนี้เป็นงวดเหมือนเจ้าหนี้ทั่วไปจะทำให้รายการหนี้สินที่มีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,343 ล้านบาท ทำให้หนี้สินทางการเงินต่อทุน ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.27 เท่า ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำ และเป็นระดับที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งอยู่มาก และมีความเสี่ยงที่เจ้าหนี้รายอื่นๆ อาจร้องขอตามมาเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ถ้าหากบริษัทฯมีการออก Infrastructure fund คาดว่าจะทำให้มีกำไรพิเศษเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 32,160 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ มีสภาพคล่องในอนาคตจำนวนมากที่จะชำระหนี้ดังกล่าว และหนี้ที่มีอยู่ทั้งหมดได้ สำหรับการลงทุนระยะยาวนักลงทุนยังสามารถถือต่อเพื่อรอประเด็นบวกการจัดตั้ง Infrastructure fund ซึ่งคาดว่าจะสามารถยื่นเอกสารขอจัดตั้งได้เสร็จในไตรมาสที่ 1 ปี 2557