xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศของตระกูลชินวัตร

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ในที่สุดนายใหญ่นักโทษหนีคดีก็สั่ง ส.ส.ทาสในสภาฯ ให้ลุยออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อพาเขากลับประเทศโดยไม่มีความผิด โดยไม่ต้องสนใจเสียงคัดค้าน เพราะประเมินแล้วว่า ไม่มีอำนาจไหนที่จะขัดขวางได้ในเวลานี้

ตอนนี้นายใหญ่มั่นใจว่าสามารถควบคุมอำนาจทุกฝ่ายไว้ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภาทั้ง ส.ส. ส.ว. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการทุกหมู่เหล่า

กำลังเหิมเกริมและลุแก่อำนาจอย่างสุดใจ

เชื่อเถอะว่าที่พรรคเพื่อไทยกำลังจะใช้เสียงข้างมากทำอัตวินิบาตกรรมระบอบประชาธิปไตยอยู่นี้เป็นการสั่งการของนักโทษหนีคดีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญและรัฐบาลเพียงคนเดียว

ไม่สนแม้กระทั่งเสียงของครอบครัวคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการปลุกปั่นชุมนุมของนักโทษหนีคดีและบริวาร กลายเป็นว่าการตายของพวกเขานั้น เป็นการตายเพื่อให้นักโทษหนีคดีนำมาเป็นข้อต่อรองเพื่อล้างผิดให้กับตัวเอง หลอกลวงมวลชนมาตลอดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น

เดิมร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้บอกว่าจะทำเพื่อประชาชน อยู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลักการของร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านวาระ 1 มาว่าจะเป็นการนิรโทษกรรมทางการเมืองให้กับประชาชนที่เข้าร่วม ไม่เกี่ยวกับแกนนำ ผู้สั่งการ และรวมถึงทักษิณ อย่างผิดธรรมเนียมและวิธีปฏิบัติของการพิจารณากฎหมายที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

การทำลายหลักการและล้มล้างวิธีปฏิบัติครั้งนี้เอาการนิรโทษบุคคลอื่นมาเป็นข้ออ้างบังหน้าแต่มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงเพื่อล้างความผิดให้กับทักษิณเพียงคนเดียว และคืนเงิน 46,000 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยให้กับทักษิณ

ตอนออกร่างกฎหมายฉบับนี้หลักการก็อ้างว่า เพื่อล้มล้างเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองการแสดงออกทางการเมืองที่ต่อเนื่องมาจากการรัฐประหารปี 2549 แต่มีการขยายระยะเวลาของร่างกฎหมายให้ครอบคลุมออกไปอย่างไร้ขอบเขตจนถึงต้นปี2547 ซึ่งเป็นการถอยระยะเวลาออกไปก่อนการรัฐประหารเกือบ 3 ปี ซ้ำร้ายร่างกฎหมายฉบับนี้ยังครอบคลุมไปถึงอนาคต คือ ล้มล้างการทำงานของคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดนี้ที่จะมีมติในอนาคตทั้งหมดด้วย

ถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้จะกลายเป็นองค์กรที่ไร้สภาพไปโดยปริยาย ไม่สามารถไต่สวนหรือตรวจสอบการทุจริตของข้าราชการและนักการเมืองได้อีกต่อไป ที่ได้ทำไปแล้วในห้วงระยะเวลาหลังรัฐประหารเป็นต้นมาก็ต้องเป็นโมฆะหมด

แม้กระทั่งสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเป็นแนวร่วมของทักษิณมาตลอด ยังออกมาตำหนิว่า พรรคเพื่อไทย กำลังทำลายความชอบธรรมของ “เสียงข้างมาก” ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการ พ.ร.บ.เหมาเข่งก็ควรเสนอออกมาตรงๆ แต่แรก ให้สภาฯ และสาธารณชนได้พิจารณากันอย่างเต็มที่ตั้งแต่วาระแรก แต่นี่พรรคเพื่อไทยกลับยืนยันจนวินาทีสุดท้ายที่เสนอ พ.ร.บ.ฉบับวรชัย เข้าสภาฯ ว่า ไม่เหมาเข่ง ไม่รวมแกนนำ ผู้สั่งการ ไม่รวมทักษิณ นี่เป็นการหลอกลวงมวลชนตัวเอง หลอกลวงประชาชนครั้งใหญ่

สมศักดิ์ระบุว่า เป็นการใช้ “เสียงข้างมาก” มาทำลายกระบวนการร่างกฎหมายของสภาฯ และนี่กำลังจะใช้ “เสียงข้างมาก” ดันผ่านวาระ 2-3 พ.ร.บ.ลักไก่ เหมาเข่ง ที่ไม่เคยผ่านการพิจารณาวาระแรก เป็นการทำลายความชอบธรรมของการเป็น “เสียงข้างมาก” ด้วยตัวพรรคเพื่อไทยเอง ทำให้เสื่อมเสียหลักการทุกอย่างไปหมด

ใบตองแห้ง ประชาไท ซึ่งทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ทักษิณและรัฐบาลมาตลอดยังบอกเลยว่า เพื่อไทยคิดถึงแต่เสื้อแดง เสื้อเหลือง เชื่อว่าเหลืองมีหยิบมือ แดงส่วนใหญ่ชักจูงได้ อ้างรัฐธรรมนูญ ม. 30 อ้าง ICC (ศาลอาญาระหว่างประเทศ) แต่ไม่คิดถึงคนกลางๆ กระแสสาธารณะ ซึ่งมองว่าเพื่อไทยกำลังทำเพื่อทักษิณ ทักษิณทำเพื่อตัวเอง โดยเอามวลชนเสื้อแดงแลก ในวัฒนธรรมไทยเรียกว่าขายพวก หรือฝรั่งก็บอกว่าไม่มีสปิริต จะเสื่อมหนัก

“มติชน” ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีจุดยืนรับใช้รัฐบาลของทักษิณ ยังออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.เหมาเข่ง ว่า ข้อเสนอที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเบื้องแรก คือนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชน ไม่รวมผู้สั่งการและแกนนำ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการนิรโทษกรรมผู้สั่งการและแกนนำด้วย สังคมและสาธารณชนไม่ได้รับรู้ ไม่ได้เตรียมความคิดมาก่อน ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ จึงเกิดปฏิกิริยาและคำถาม ทำให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งควรจะเป็นร่างกฎหมายที่นำไปสู่ความปรองดอง กลับกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียด กระทั่งน่าหวาดวิตกว่า จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงซ้ำรอยเดิม

“มติชน” จึงขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ทบทวน ยุติ ระงับการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในแนวทางที่เป็นปัญหานี้ทันที และกลับคืนสู่แนวทางอันเป็นที่ยอมรับ หรือแนวทางที่สภาฯ รับหลักการในวาระที่ 1 โดยคำนึงถึงเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้น และยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันแท้จริงในการสร้างสังคมไทยให้กลับคืนสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง

นักวิชาการที่ออกมาคัดค้าน คือ นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งที่ผ่านมานักวิชาการสองกลุ่มนี้มีจุดร่วมเดียวกับพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงมาโดยตลอด โดยนิติราษฎร์ระบุว่า การกระทำดังกล่าวขัดข้อ 117 วรรคสามแห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้กระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนบอกว่า ตระบัดสัตย์และมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

สะท้อนว่า วิธีการที่พรรคเพื่อไทยกำลังกระทำกันอยู่นี้ไม่ใช่วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นวิธีการของเผด็จการรัฐสภา คือใช้เสียงข้างมากทำลายความชอบธรรมของพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นเสียงส่วนใหญ่

คิดไปแล้วก็อยากถามดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เหมือนกันนะครับว่า นี่หรือคือหุ้นส่วนอันเหลือเชื่อในการเข้ามายึดกุมอำนาจนำทางการเมืองระหว่างทุนที่เป็นเจ้าของพรรคการเมืองกับมวลชนชนชั้นกลางใหม่ที่ยกย่องสถาปนาให้เป็นสืบสานเจตนารมณ์ 14 ตุลา 2516

วิธีการแบบนี้มันเป็นประชาธิปไตยแบบไหนครับ

ร่าง พ.ร.บ.เหมาเข่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังใช้เสียงข้างมากลากเข้ามาในสภาฯ ฉบับนี้ ยังทำลายหลักการของการถ่วงดุลอำนาจในระบอบประชาธิปไตย เพราะคดีความที่กำลังพิจารณาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และคดีความที่ศาลยุติธรรมกระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษาออกมาแล้วก็ถูกล้มล้างทั้งหมด ซ้ำร้ายร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังกินอาณาเขตที่ระบุว่ามีเป้าหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองไปลบล้างความผิดในกรณีทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองด้วย

มันกำลังบอกเราใช่ไหมครับว่า ต่อไปนี้ ถ้านักการเมืองกระทำการทุจริตและถูกชี้มูลความผิดหรือแม้แต่ศาลฎีกาตัดสินแล้ว ก็จะสามารถใช้เสียงข้างมากล้มล้างความผิดได้ ซ้ำร้ายยังล้มล้างองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตด้วย แล้วอย่างนี้หลักเกณฑ์ของประเทศนี้มันจะอยู่ตรงไหน

ผมถามคนในสังคมทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงนะครับว่า เราจะยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยหรือไม่

ถ้าคนในสังคมยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นก็ยกประเทศนี้ให้ทักษิณ และตระกูลชินวัตรไปเถอะครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น